ขจรเป็นไม้เลื้อย การปลูกจึงต้องทำค้างเพื่อให้ยอดขจรขึ้นไปเลื้อยบนค้าง และต้องคอยจับยอดให้เลื้อยขึ้นค้าง จนห้อยลงมาด้านล่างไม่ให้กิ่งทับกันมาก เพราะนอกจากจะทำให้ขจรออกดอกดก กิ่งก้านโปร่งเป็นระเบียบแล้ว ยังจะทำให้เดินเก็บดอกไม้สะดวกอีกด้วย
คุณไพศาลเล่าว่า ดอกขจรจะดอกหรืไม่นั้นขึ้นอยู่กับการแต่งกิ่ง ซึ่งส่วนมากจะแต่งกิ่งกันในช่วงหน้าหนาว เพราะช่วงนี้ดอกขจรมักจะออกดอกน้อยและดอกที่ออกมาก็มักจะฝ่อ ช่วงนี้จึงนิยมตัดแต่งกิ่งกันเพื่อให้แตกยอดใหม่ที่จะสมบูรณ์มากขึ้นและให้ดอกดกเหมือนเดิม
โดยการตัดแต่งจะทำในช่วงเดือนตุลาคม การตัดแต่งกิ่งช่วงนี้จะตัดอย่างหนัก เอาไว้เฉพาะส่วนของลำต้นที่ตั้งตรงขึ้นไป ส่วนกิ่งแขนงเลื้อยไปตามค้างจะตัดออกหมด แต่ก็จะไม่ทำทั้งแปลงพร้อมกัน แบ่งออกเป็นล็อกเพื่อให้มีต้นที่เก็บได้ด้วย เพราะช่วงหน้าหนาวก็เป็นโอกาสทองของชาวสวนด้วยเช่นกัน
ซึ่งราคาดอกขจรในช่วงหน้าหนาวจะขึ้นสูงเป็นเท่าตัว อยู่ในราคาประมาณ 120-130 บาท หลังจากจากแต่งต้นไปแล้วประมาณ 2-3 อาทิตย์มันจะแตกยอดออกมาใหม่ นอกจากนี้จะมีการตัดแต่งกิ่งที่แก่ออกอยู่ตลอดเพื่อให้แตกยอดใหม่ออกมา ขจรจะมียอดใหม่แตกออกมาเรื่อยๆ พอเด็ดยอดก็จะยิ่งแตกยอดขึ้นมาใหม่ ยอดหนึ่งจะยาวประมาณ 7-8 ข้อ มีดอกทุกข้อ ยิ่งตัดก็จะยิ่งแตก
การให้ปุ๋ยจะให้อาทิตย์เว้นอาทิตย์ โดยใช้สูตรเสมอเป็นหลัก ถ้าแต่งต้น แต่งกิ่งแก่ออกอยู่ตลอด แล้วใส่ปุ๋ยก็จะมีดอกออกมาตลอด ดอกขจรไม่ค่อยมีศัตรูรบกวนแต่ก็อาจจะมีบ้างบางช่วงที่มีหนอน แมลงหวี่ขาวเข้ามากัดกินยอด อาจจะต้องฉีดพ่นสารเคมีบ้าง แต่น้อยมาก ใช้ยาอ่อนก็เอาอยู่แล้ว
คุณไพศาลบอกว่า จะเก็บดอกขจรขายกันทุกวันๆ ละ 30-40 กิโลกรัม ดอกหลังจากที่เก็บมาแล้วจะต้องนำมาคัดแยกดอกตูมและดอกบานซึ่งจะขายได้ในราคาต่างกัน ดอกตูมนั้นจะได้ราคาดีกว่า 40-50 บาท ดอกบานจะอยู่ที่ 20 บาท จากนั้นก็บรรจุใส่ถุงๆ ละ 10 กิโลกรัม ส่วนราคาในช่วงฤดูหนาวที่ไม่ค่อยมีดอกนั้น ราคาจะค่อนข้างสูงอยู่ที่ 120-130 บาท คุณไพศาลบอกว่า วันหนึ่งที่บ้านจะมีรายได้หมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 1,500 -2,000 บาทเลยทีเดียว สร้างรายได้หมุนเวียนในครอบครัวอย่างดี
ที่มา : Rakkaset Nungruethail