สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (Thailand Textile Institute : THTI) หน่วยงานที่เสมือนเป็น “พี่เลี้ยง” ของวงการแฟชั่นสิ่งทอไทยและเครื่องนุ่งห่มของประเทศ ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2539 เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลในสมัยนั้นต้องการที่จะลดอัตราคน (Downsizing) ของหน่วยงานราชการ แต่ก็มีความคิดว่าควรที่จะแยกผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านออกมาเป็นองค์กรอิสระ โดยใช้ชื่อว่า “สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ” ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของประเทศทั้งระบบ และพัฒนาสินค้าของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศ ซึ่งปัจจุบันสามารถเสริมแกร่งให้กับผู้ประกอบการไทยได้มากกว่า 600 ราย
สุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการ THTI กล่าวว่ารูปแบบงานของสถาบันฯ จะแบ่งเป็นบริการต่างๆ หลายประเภท ได้แก่ บริการพัฒนาบุคลากรในทุกระดับ ทั้งด้านเทคโนโลยี การบริหารจัดการและงานด้านแฟชั่น บริการให้คำปรึกษาแนะนำด้านเทคโนโลยีการจัดการองค์กร การเพิ่มผลผลิต การพัฒนาการเชื่อมโยง และห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมสิ่งทอและบริการศูนย์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อประโยชน์ทางการค้า การลงทุน โดยผ่านสื่อต่างๆ ของสถาบันฯ เช่น เว็บไซต์ อีเมล และสื่อเอกสารต่างๆ
“ในแต่ละวันจะมีผู้ประกอบการไทย เข้ามาหาสถาบันฯ มากมาย แต่หลักๆ จะเป็นการขอใช้บริการด้านการทดสอบงานสิ่งทอ ตรวจเช็ค สี ลาย วัตถุดิบเส้นด้าย ไปจนถึงการตรวจสอบการตัดเย็บว่าตรงตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าโอทอป เสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้ากีฬา ฯลฯ และสถาบันฯ จะมีการช่วยผลักดันจนสินค้าดังกล่าวผ่านมาตรฐานสินค้าชุมชน เสมือนเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าต่อไป” สุทธินีย์เสริมข้อมูลการให้บริการของสถาบันฯ
การพัฒนาของวงการแฟชั่นและสิ่งทอในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สุทธินีย์ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากกำลังมุ่งเน้นในเรื่องของการเพิ่มฟังก์ชั่นสินค้าให้มีคุณสมบัติพิเศษ หลายรายมีความพยายามที่จะประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภครับรู้ว่า สินค้านั้นสามารถป้องกันแสงยูวี แอนตี้แบคทีเรีย ไปจนถึงกันไฟได้ งานลักษณะนี้สถาบันฯ จะมีส่วนอย่างมากในเรื่องการส่งเสริมจรรยาบรรณให้แก่ผู้ประกอบการให้ทำธุรกิจอย่างถูกต้อง โดยการเข้าไปให้บริการทำเครื่องหมายที่บ่งบอกว่าสินค้าดังกล่าวมีคุณสมบัติตรงตามกับที่ประชาสัมพันธ์หรือไม่ ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคด้วยเช่นกัน
ส่วนเทรนด์สินค้าในปัจจุบันที่จะต่อเนื่องไปถึงอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า สุทธินีย์มองว่า ถ้าจะพัฒนาสินค้าเพื่อความยั่งยืน ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับเรื่องวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสถาบันฯ ก็มีโครงการในลักษณะนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาต้นแบบไหมไทยร่วมสมัย (Modern Thai Silk) ซึ่งเป็นการนำผู้ประกอบการไทยมาศึกษาวิจัยความต้องการของผู้บริโภคในด้านไหมไทย จนกระทั่งสามารถผลิตสินค้าต้นแบบสำเร็จรูปผ้าไหมไทยร่วมสมัยขึ้นมาได้ และปัจจุบันได้จัดต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 4
นอกจากบริการและโครงการมากมายที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ล่าสุดสถาบันฯ มีหน่วยงานย่อยที่เป็นศูนย์กลางด้านความรู้ข่าวสารที่ทันสมัยในชื่อ “ศูนย์สร้างสรรค์องค์ความรู้แฟชั่น” ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้ามาศึกษาข้อมูลเชิงลึก แนวโน้มและเทรนด์แฟชั่นต่างๆ ได้ที่นี่ เพื่อยกระดับความรู้ในการศึกษาแฟชั่นและสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจแฟชั่นไทย
โดยกลุ่มผู้ที่เข้ามาขอใช้บริการกับสถาบันฯ จะเป็นผู้ประกอบการระดับ SME ที่มีความมุ่งมั่น ยกตัวอย่างกรณีการส่งนักออกแบบมาติวเข้ม มารับองค์ความรู้ไปต่อยอด หลายรายมีหัวก้าวหน้าก็จะได้รับทั้งศาสตร์และศิลป์จากสถาบันฯ กลับไปเสมอ แม้แต่ผู้ประกอบการไทยที่เป็นมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เข้าร่วมอบรมกับสถาบันฯ และได้มีโอกาสพาไปดูงานที่อินโดนีเซีย
“ผู้ประกอบการที่มุ่งมั่นจะไม่รับข้อมูลและปล่อยให้ข้อมูลลอยผ่านไป แต่จะจริงจังกับการศึกษาว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร ต้องการอะไร และนำกลับมาเป็นไอเดียพัฒนาสินค้าของตนเองในที่สุด โรงงานสิ่งทอที่อยู่รอดจะมารับจ้างผลิตอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เพราะว่าค่าจ้างที่ประเทศอื่นอาจจะถูกกว่าเราก็ได้ จึงต้องมีการพัฒนาและปรับสินค้าให้ทันสมัย พร้อมด้วยคุณสมบัติพิเศษและให้ตระหนักไว้เลยว่าการออกแบบที่แตกต่างและเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตลาดต้องการจะช่วยสร้างมูลค่าให้กับสินค้าของเราไม่จบสิ้น” สุทธินีย์ ย้ำถึงการพัฒนาตนเองของ SME
สุดท้าย สุทธินีย์ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า ในอาเซียนนั้นปัจจุบันไทยยังเป็น “ผู้นำ” ในเรื่องของมาตรฐานการผลิต และเชี่ยวชาญมากในเรื่องการผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม หลายประเทศในอาเซียนต้องมาดูงานที่ไทยเพื่อนำไปต่อยอด ดังนั้นผู้ประกอบการไทยเองก็ไม่ควรที่จะหยุดก้าวไปข้างหน้า อย่ากลัวที่จะเสียค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจะยกระดับให้กับตนเอง
ครั้งนี้ไทยอาจจะอยู่ในระดับอาเซียน แต่ก้าวต่อไปต้องเป็นระดับเอเชีย และไต่จนถึงระดับโลก เพราะแทนที่จะเป็นแบรนด์ที่ไม่มีคนรู้จัก ในอนาคตคุณอาจจะเป็น Designer of the Year ก็ได้