หลังจากนั้นเดินสายเปิดรับสอนมวยไทยให้ชาวต่างชาติตามบ้านและคอนโดฯ จนในปี 2553 เขากลับมาเปิด “โรงเรียนสอนมวยไทยครูดาม” หรือ ครูดามยิม อีกครั้งด้ว จังหวะที่เหมาะสม การเข้ายิมมวยมาออกกำลังกายกำลังเป็นเทรนด์นิยมของคนไทย จากที่เปิดและบริหารเอง 3 สาขา ดามได้ขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ จนวันนี้โรงเรียนสอนมวยไทยครูดามมีถึง 13 สาขาทั่วประเทศ
“ผมออกแบบและเขียนหลักสูตรเอง แล้วยื่นเรื่องใช้เวลาประมาณ 2 ปี จนได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ ชาวต่างชาติสามารถขอวีซ่าเพื่อมาเรียนมวยที่นี่ได้ จบแล้วก็มีใบประกาศนียบัตรรับรอง” ดามเล่าถึงจุดเริ่มต้น
เรื่องกีฬานั้นอยู่ในสายเลือด แต่สิ่งที่ดามคิดว่าเป็น “จุดอ่อน” ของตนเองคือ “เรื่องการตลาด” เขาจึงไปเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ รวมทั้งศึกษาการตลาดธุรกิจยิมมวย และการใช้สื่อโฆษณาต่างๆ โดยครูดามยิมถือเป็นธุรกิจมวยไทยเจ้าแรกที่โฆษณาผ่าน Google AdWords ซึ่งนับว่าได้ผลมีคนรู้จักยิมมวยแห่งนี้มากขึ้น ทุกวันนี้เขาก็ยังคงใช้เครื่องมือออนไลน์นี้ควบคู่ไปกับการเปิดเฟซบุ๊กสร้าง “แฟนเพจ” แทนการแจกโบรชัวร์และการออกบูธ
ครูดามเล่าว่าสมัยก่อนทำไม่นานก็คืนทุนแล้ว แต่ปัจจุบันใช้เวลาประมาณ 2 ปี ต้นทุนหลักๆ ของธุรกิจอยู่ที่งานก่อสร้างตกแต่งและอุปกรณ์ต่างๆ โดยงบลงทุนเริ่มต้นที่ประมาณ 2 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ในขณะที่รายได้ 80% มาจากค่าคอร์สเรียนที่มีให้เลือกหลากหลาย เช่น เรียนแบบกลุ่ม 599 บาทต่อครั้ง เรียนแบบไพรเวท 1,499 บาทต่อครั้ง หรือจะเรียนมวยตัวต่อตัวกับครูดามราคาก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 3,499 บาทต่อครั้ง
“ตอนนี้มีลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างสาขาสุขุมวิท 36 ต่างชาติ จะเยอะถ้าเป็นสาขาวัชรพลราษฎร์บูรณะศรีนครินทร์ตรงนั้น จะเป็นโซนคนไทย ทั้งนักธุรกิจและคนวัยทำงานที่มาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพคอร์สสำหรับเด็กก็มี นอกจากนี้ยังมีการสอนมวยไทยให้กับกรุ๊ปทัวร์ห้องละ 50-200 คน เราก็จะส่งครูไปสอนถึงโรงแรม หรือสอนมวยให้กับเด็กตามโรงเรียนนานาชาติที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง”
“การแข่งขันในตลาดยิมมวยค่อนข้างดุเดือด ที่แย่คือมีการลดราคาสู้กัน ซึ่งผมไม่เล่นวิธีนี้ด้วย เพราะมันจะเหนื่อย ผมจะเน้นเรื่องคุณภาพของครูผู้สอน และมาตรฐานของอุปกรณ์ต่างๆ การบริการก็สำคัญผมมองว่า คนเราจะยอมจ่ายเพื่อแลกกับบริการที่ดี” ครูดามกล่าว
ขณะที่รายได้อื่นๆ ของครูดามยิมมาจากการเป็นโปรโมเตอร์ จัดอีเว้นท์ชกมวยตามสถานที่ต่างๆ โดยหาสปอนเซอร์มาร่วมสนับสนุน แล้วเก็บค่าตั๋วเข้าชม รวมถึงการผลิตและจำหน่ายสินค้ากีฬามวยไทยภายใต้แบรนด์ “ครูดามยิม” เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา น้ำดื่ม เวทีมวย เป็นต้น
ในส่วนของการขยายธุรกิจ ครูดามยังดำเนินการต่อเนื่อง ปัจจุบันตลาดยิมมวยไทยในกรุงเทพฯ อยู่ในภาวะ “ตึงตัว” ทำเลในต่างจังหวัดถือเป็นทางเลือกที่ดี โดยเน้นเมืองท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ และมีกำลังจับจ่าย โดยล่าสุดครูดามยิมไปเปิดสาขาแฟรนไชส์ที่ จ.สุรินทร์ และ จ.ระยอง ครูดามมองว่าเพียงแค่กรุ๊ปทัวร์จองเข้ามาเรียนเดือนละ 3 กลุ่มธุรกิจก็สามารถอยู่ได้แล้ว
แนวโน้มของธุรกิจสร้างความ “สตรอง” ให้กับร่างกายยังสามารถทำเงินให้กับผู้ลงทุนได้ แม้การแข่งขันจะค่อนข้างสูงก็ตาม เพียงแต่ต้องหาจุดขายใหม่ๆ มานำเสนอกับตลาด นับเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับ SME ที่จะต้องสร้างพื้นที่ยืนที่มั่นคงของตนเอง โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ให้เป็นประโยชน์ในการกระจายข่าวสารควบคู่ไปกับการเชิญชวนกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาทดลองใช้บริการเพื่อสร้างความประทับใจในการใช้บริการตั้งแต่ครั้งแรก
อ่าน >> BODY-CON ธุรกิจสวย สตรอง!! Part 1: ธุรกิจ Fitness ฟิตรูปร่างและการออกกำลัง
อ่าน >> BODY-CON ธุรกิจสวย สตรอง!! Part 2 : เทรนด์ฟิตเนสแนวใหม่
อ่าน >> BODY-CON ธุรกิจสวย สตรอง!! Part 3 : Sport Performance
อ่าน >> BODY-CON ธุรกิจสวย สตรอง!! Part 4 : เทคโนโลยีเพื่อรูปร่างเฟิร์ม
อ่าน >> Supersports “สตรอง” ทั้งออฟไลน์ออนไลน์
อ่าน >> J FITNESS จับจุดขายใหม่ “Private Training”
อ่าน >> Krudamgym มวยไทย ขยายตามเทรนด์