กระทรวงพาณิชย์ เผยผลสำเร็จการจัดงาน “สัมมนาสร้างเครือข่าย และขยายตลาดส่งออกด้วยเอฟทีเอ” มีผู้สนใจตบเท้าร่วมฟังเสวนาตลอด 5 วันอย่างต่อเนื่อง มั่นใจ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และจับคู่ธุรกิจ ช่วยผู้ประกอบการเห็นช่องทางใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอต่อยอดพัฒนาสินค้าเพื่อส่งออก ขณะที่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ และผู้ประกอบการ ที่เข้าร่วมงานเสวนาและออกบูธ ทำยอดจำหน่ายกว่า 1.5 ล้านบาท
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า งานสัมมนา “สร้างเครือข่ายและขยายตลาดส่งออกด้วยเอฟทีเอ” เมื่อวันที่ 24 – 28 มกราคมที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ ซึ่งได้สั่งการให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จัดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ ให้กับเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ
รวมถึงเพื่อเป็นช่องทางเผยแพร่และเชื่อมโยงสินค้าท้องถิ่นที่มีคุณภาพของไทยสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้น ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนา ตลอด 5 วันอย่างคึกคัก มีผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าระหว่างประเทศทั้งจากภาครัฐและเอกชน ผลัดกันขึ้นเวทีเป็นวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงในเรื่องการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ
ขณะเดียวกันเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ และผู้ประกอบการจากจังหวัดต่างๆ ที่มาร่วมออกบูธทั้ง 40 ราย มียอดจำหน่ายรวมกว่า 1.5 ล้านบาท และยังได้ยอดสั่งซื้อสินค้า จับคู่ธุรกิจ ติดต่อให้ผลิตสินค้า (OEM) ต้องการร่วมทุน รวมทั้งต่อยอดส่งออกโดยใช้ประโยชน์จากแต้มต่อที่ไทยไม่ต้องเสียภาษีภายใต้ความตกลงเอฟทีเออีกด้วย
นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ มีสินค้าดาวเด่นที่มียอดจำหน่ายสูง เช่น กระเป๋า ซึ่งมีการสร้างสรรค์ออกแบบลวดลายโดยใช้ผ้าไทยจากจังหวัดต่างๆ ละมุดออร์แกนิกสุโขทัย เจาะตลาดกลุ่มผู้รักสุขภาพได้ดี ข้าวเกรียบปลานัสรีนปัตตานี ที่มีความหลากหลาย รสชาติกลมกล่อม หอมแดงศรีสะเกษ ที่มีเปลือกบางวงหอมแน่น รสชาติหวาน เผ็ดร้อน และผ้าบาติกเดอนาราปัตตานีที่มีการออกแบบทันสมัย ลวดลายแปลกตา สวมใส่สบาย
รวมถึงเครื่องประดับจากอุบลราชธานี ที่มีการออกแบบลวดลายประยุกต์ ใช้งานได้หลายโอกาส เป็นต้น ซึ่งนอกจากผู้ประกอบการจะได้จำหน่ายสินค้าแล้ว ยังมีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงทดลองตลาดและเรียนรู้ความต้องการของลูกค้า เพื่อไปพัฒนาต่อยอดสินค้า สร้างเครือข่าย และขยายตลาดส่งออกด้วยเอฟทีเอ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพิ่มเติมว่า กรมฯ เห็นความสำคัญของการสร้างความตระหนักรู้และการใช้ประโยชน์จากความตกลงเอฟทีเอให้กับกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ รวมถึงเห็นจุดเด่นและศักยภาพของสินค้าจากกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน จึงได้เชิญเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ
ที่เคยเข้าร่วม “โครงการเพิ่มศักยภาพเกษตรกรในยุคการค้าเสรี” และ “โครงการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สู่ตลาดอาเซียน” กับกรมฯ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มาร่วมงานสัมมนา สร้างเครือข่ายธุรกิจ และขยายตลาดในเขตกรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการตลาดให้กับสินค้าของไทย ซึ่งนอกจากจะขายในประเทศแล้วยังสามารถส่งออกไปต่างประเทศโดยใช้ช่องทางและประโยชน์จากเอฟทีเอได้
ทั้งนี้ จากเอฟทีเอทั้ง 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ ที่ไทยมีในปัจจุบัน สินค้าเกษตร เกษตรแปรรูป เครื่องใช้ในสวน เครื่องประดับ สิ่งทอ เป็นสินค้าที่ประเทศคู่เอฟทีเอส่วนใหญ่ อาทิ อาเซียน จีน และญี่ปุ่น ได้ยกเลิกเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าส่งออกจากไทยแล้ว เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยจึงสามารถผลิตสินค้าให้มีคุณภาพสนองความต้องการของตลาด และสามารถแข่งขันกับสินค้าประเภทเดียวกันที่ยังต้องถูกเก็บภาษีศุลกากรจากประเทศผู้นำเข้า