เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก เดลิเวอรี่ (Delivery) กันดีอยู่แล้ว ปัจจุบันธุรกิจเดลิเวอรี่เติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอาหาร เทรนด์การเติบโตของธุรกิจ ฟู้ดเดลิเวอรี่ ยังมีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างสดใส เพราะส่วนหนึ่งเข้าไปรองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนเมืองรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี โดยในช่วงปี 2563 ศูนย์วิจัยกสิกร บอกว่า จำนวนครั้งของการจัดส่งอาหารไปยังที่พักในปี 2563 จะสูงกว่า 66 – 68 ล้านครั้ง หรือขยายตัวทั้งปีสูงถึงร้อยละ 0 – 84.0 เมื่อเทียบกับปีก่อน
นี่ถึงถือเป็นอนาคตที่สดใสที่ผู้ประกอบการรายเล็กจะเลือกใช้ช่องทาง เดลิเวอรี่ เป็นเครื่องมือเพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างดี วันนี้ ชี้ช่องรวยจะมาบอกถึง ข้อดี ข้อเสีย และเคล็ดลับ การใช้เครื่องมือเดลิเวอรี่อย่างไรให้ประสบความสำเร็จ
ข้อดีของบริการเดลิเวอรี่
- เพิ่มโอกาสสร้างยอดขายให้มากขึ้น
- ทำให้มีลูกค้าประจำมากขึ้น
- ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านก็ได้
ข้อเสียของบริการเดลิเวอรี่
- บางครั้งอาจจัดส่งได้ในพื้นที่จำกัดเท่านั้น
- ในพื้นที่ห่างไกลอาจมีค่าจัดส่งแพงขึ้น ทำให้ลูกค้าอาจเปลี่ยนใจ
- ต้องควบคุมคุณภาพ รูปแบบ ของสินค้า หรืออาหารให้เหมือนกับที่ร้าน
เคล็ดลับความสำเร็จ
การจัดการให้ช่องทางเดลิเวอรี่เติบโตหรือเป็นช่องทางหลักในการเพิ่มยอดขายเติบโตนั้นนอกจากปัจจัยข้างต้นไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีธุรกิจ ‘คนกลาง’ เป็นตัวเชื่อมระหว่างร้านอาหารกับผู้บริโภคแล้วยังต้องมีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจ 5 ข้อ ดังนี้
1.ช่องทางการติดต่อเข้าถึงได้ง่าย
หากจะทำร้านอาหารแบบเดลิเวอรี่ ควรมีช่องทางให้ลูกค้าสามารถติดต่อสื่อสารและเข้าถึงได้ง่าย โดยใช้สื่อ เช่น เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ไลน์ หรือแอพพลิเคชั่นที่ให้บริการรับจัดส่งสินค้าต่างๆ
2.เมนูอาหารต้องเด็ดจริง
ทางร้านค้าไม่จำเป็นต้องจัดส่งทุกเมนู ควรเลือกเมนูที่เจ๋งจริงๆและเหมาะสมกับการจัดส่ง หรือจัดส่งแล้วยังคงคุณภาพความอร่อย สดใหม่จึงต้องเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมกับสินค้า หรือแข็งแรงสำหรับการขนส่งด้วย
3.มีรายละเอียดและราคาต้องชัดเจน
ลูกค้าส่วนใหญ่จะให้ความสนใจกับร้านอาหารเดลิเวอรี่ที่มีการบอกรายละเอียดของเมนูอาหาร ราคาอาหารและราคาค่าบริการจัดส่งอย่างชัดเจน เพราะจะทำให้สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้ก่อนตัดสินใจสั่งซื้อ หากทำใบปลิวหรือลงประกาศขายในเว็บไซต์ ก็ควรใส่รายละเอียดให้ครบถ้วนและชัดเจน
4.รวดเร็วทันใจไม่ให้รอนาน
บริการจัดส่งอาหารไปถึงมือลูกค้า จะต้องมีความรวดเร็วทันใจปัจจุบันทำเวลาเฉลี่ยตั้งแต่สั่งอาหารจนอาหารถึงมือลูกค้าประมาณ 40 นาที และรูปแบบการคิดค่าบริการที่คิดค่าอาหารตามจริง บวกค่าส่ง ทำให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบค่าบริการได้อย่างสะดวก
5.จัดโปรโมชั่นเพิ่มยอดขาย
ต้องมีจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเช่น โปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม เป็นการกระตุ้นยอดขาย เพราะไม่ว่าบริการจัดส่งจะดีแค่ไหนหากลูกค้ามีความสนใจในอาหารน้อยจึงต้องอาศัยการส่งเสริมการขายเข้าช่วย เพื่อเรียกลูกค้านั่นเอง