ศูนย์รวมแฟรนไชส์น่าลงทุน

เปิดใจ 3 เอสเอ็มอี ยุคใหม่ ในงาน “กล้า D Festival” ติดปีกธุรกิจ SMEs


ในงานเสวนาพิธีเปิดงานเทศกาล “กล้า D Festival ปรับ เปลี่ยน ลุก เดิน” ณ สำนักงานใหญ่ อาคาร SME Bank Tower ที่พาผู้ประกอบการ SMEs พลิกวิกฤต ปั้นฝันสู่ความจริง สู้กระแสเศรษฐกิจ สร้างธุรกิจเติบโต

โครงการ “กล้าD” จุดประกายขึ้นเนื่องจากข้อมูลจากหลายหน่วยงานที่คาดการณ์เศรษฐกิจได้ประเมิน 10 ประเภทธุรกิจที่หากไม่ยกระดับ ปรับเปลี่ยน จะมีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจสถาบันการเงิน ธุรกิจผลิตและจำหน่ายหรือให้เช่า CD-DVD กลุ่มยางผลิตภัณฑ์ยางและปาล์มน้ำมัน ธุรกิจร้านค้าปลีกดั้งเดิม (โชห่วย) ธุรกิจทีวีดิจิทัล-เคเบิลทีวี-สื่อสิ่งพิมพ์ ธุรกิจสถานศึกษาเอกชน ธุรกิจสิ่งทอและเครื่องหนัง ธุรกิจร้านอินเตอร์เน็ต ธุรกิจหัตกรรมและเฟอร์นิเจอร์ไม้ และธุรกิจห้างสรรพสินค้าให้ก้าวสู่การเป็น เอสเอ็มอีดาวเด่น ก้าวทันเทคโนโลยียุค 4.0 แก่ผู้ประกอบการ SME D Bank ให้ความสำคัญที่จะพาผู้ประกอบการไทยก้าวสู่ถนนดิจิทัล มั่นใจว่าหากสามารถยกระดับและปรับตัวได้

บรรยากาศภายในงาน มีเหล่าผู้ประกอบการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสถาบันการเงิน ผู้ประกอบการด้านเกษตรแปรรูป ผู้ประกอบการจากสื่อทีวีเคเบิลและสิ่งพิมพ์ และผู้ประกอบการธุรกิจร้านค้าแบบดั้งเดิมมาเปิดตลาดกว่า 50 ร้านค้า ปลาร้าทรงเครื่องชื่อดังจากสระบุรี ของดรสมุทรปราการปลาสลิดทอดกรอบ และกรุงเทพมหานครกิ่งพฤกษ์เครื่องประดับชื่อดังจากตลาดนัดจตุจักร เข้าร่วมงานด้วย

พร้อมกันนี้ ยังได้จัดสัมมนา “SME-D Show Story Telling ธุรกิจพุ่งแรงให้สำเร็จ” กับ 3 นักธุรกิจดาวรุ่ง จากลูกค้า SME D Bank ที่ประสบความสำเร็จถึง 3 ท่าน ได้แก่

1.อาจารย์พงษ์พันธ์ ไวยนิล เจ้าของธุรกิจ “บ้านดินมอญ” ผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่มีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ ผู้สานงานหัตถกรรมที่ไม่มีวันตาย ผู้สานต่อธุรกิจของครอบครัวที่ทำมานานกว่า 200 ปี หรือ 5 ชั่วอายุคนที่เกาะเกร็ด จังหวัดปทุมธานี โดยงานปั้นหม้อเป็นงานที่อาจารย์คุ้นเคยและทำงานด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก หลังจากกลับจากโรงเรียนก็ต้องมาปั้นหม้อเพื่อที่จะมีรายได้ใช้จ่ายในโรงเรียน จึงเกิดเป็นทักษะกลายเป็นต้นทุนทางด้านงานฝีมือ

 

จนเมื่ออาจารย์เติบโตได้ศึกษาวิชาเกี่ยวกับเพราะช่างเมื่อจบออกมาจึงได้มาเป็นอาจารย์สอนงานศิลปะเรียกว่าทุกแขนง กอปรกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ครอบครัวมีแต่หนี้สินจากการทำธุรกิจจนเกือบจะปิดกิจการลง แต่อาจารย์พงษ์พันธ์ได้ฮึดสู้เพราะเห็นคุณค่าของงานที่ทำ และไม่อยากให้สูญหายไปจากสังคมไทย จึงเปลี่ยนแนวความคิดหันมาพัฒนาสินค้าที่เป็นต้นทุนอย่างดีให้มีความแตกต่างๆ จากเครื่องปั้นดินเผาที่มีราคาเพียงชิ้นละ 100 บาท เมื่อนำกลับมาต่อยอดพัฒนาใส่แนวคิดด้านศิลปะ พร้อมลวดลายที่บ่งบอกเอกลักษณ์ ทำให้เกิดความแตกต่างจากร้านอื่น ทำให้สามารถยกระดับสินค้าจากราคาหลักร้อยขึ้นมาสู่หลักพันบาท

ต่อมาเมื่อมองเห็นลู่ทางขึ้นเรื่อยๆ อาจารย์พงษ์พันธ์จึงได้หาโอกาสในการเข้าไปศึกษาหาความรู้เพราะขยายช่องทางแห่งโอกาส โดยได้รับการสนับสนุนจาก SME D Bank เปิดโอกาสให้นำสินค้าไปร่วมในงานแสดงสินค้าที่ประเทศฮ่องกง ได้รับการตอบรับที่ดีมาก มีออเดอร์สินค้านับพันชิ้น แต่เนื่องจากงานเครื่องปั้นดินเผาเป็นงานที่ละเอียดและต้องใช้เวลาและฝีมืออย่างมาก จึงทำให้ต้องปฏิเสธไปอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากเกรงว่าจะผลิตสินค้าไม่ทันตามกำหนด อย่างไรก็ตาม สินค้าเครื่องปั้นดินเผาของอาจารย์พงษ์พันธ์ยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีโอกาสไปออกงานแสดงสินค้าที่โรงแรม โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์และได้รับโอกาสให้นำสินค้าอันทรงคุณค่าไปวางขายในช้อปของโรงแรมอีกด้วย

และนี่คือความสำเร็จจากการต่อยอดจากต้นทุนที่ครอบครัวมี นำไปสู่งานศิลปะที่ขึ้นชื่อและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยกับงานเครื่องปั้นดินเผาลวดลายที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย ที่ไม่ว่าชาติใดก็หาได้ทำเสมอเหมือนเป็นความภาคภูมิใจสำหรับคนไทยอย่างแท้จริง

2.คุณบิ๊ก ผุยมาตย์ เจ้าของธุรกิจข้าวกรอบสยาม บริษัท ข้าวกรอบสยาม จำกัด เจ้าของธุรกิจที่อายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 19 ปี ด้วยการเลือกทำในสิ่งที่ชอบและใช่ จนขึ้นแท่นอายุน้อยร้อยล้านอีกคนของไทย

จุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาเป็นเจ้าของธุรกิจอาหารนั้น คุณบิ๊กเล่าว่า เมื่อช่วงอายุ 10-12 ปี คุณพ่อคุณแม่ได้ส่งตัวเขาไปศึกษาที่ประเทศจีน ซึ่งในระหว่างที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนนั้นคุณแม่มักจะส่งกระยาสารทซึ่งเป็นธุรกิจของที่บ้านมาให้รับประทานเป็นประจำ และส่วนตัวแล้วคุณบิ๊กก็ชอบรับประทานกระสารทอยู่แล้ว แต่เนื่องจากในช่วงนั้นคุณบิ๊กดัดฟันดังนั้นจึงเป็นอุปสรรคอย่างมากในการที่จะรับประทานของที่ชอบ จึงเกิดความคิดที่จะทำขนมขบเคี้ยวที่สามารถรับประทานง่าย คนดัดฟันสามารถทานได้ กอปรกับเพื่อนมีคุณพ่อเป็นเจ้าของโรงงานผลิตจึงโทรศัพท์บอกให้คุณพ่อคุณแม่ไปติดต่อเพื่อปรึกษาแนวทางการผลิตสินค้าให้ได้อย่างที่ตั้งใจไว้

จนมาถึงช่วงหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจย่ำแย่ คุณบิ๊กตัดสินใจเดินทางกลับมาประเทศไทย ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยเหลือกิจการของครอบครัว ด้วยวัยเพียง 15 ปี ณ ขณะนั้น ด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่ฝ่าฟันทุกอุปสรรคปัญหาจนกลายมาเป็นข้าวกรอบที่มีความโดดเด่นในเรื่องของรสชาติ สีสัน บวกกับได้นำเอาสินค้าไปออกงานแสดงสินค้าต่างๆ และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

และเนื่องจากตัวคุณบิ๊กเองไม่มีความรู้เรื่องการตลาด ทำให้ต้องเจอกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คนงานพากันลาออก ในขณะที่พรุ่งนี้จะต้องนำเอาสินค้าไปออกบูท อย่างไรก็ตาม คุณบิ๊กได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการการตลาด บวกกับได้รับการสนับสนุนจาก SME D Bank ทำให้ได้รับโอกาสต่างๆ

ปัจจุบัน คุณบิ๊กมีข้าวกรอบทั้งหมด 3 รส ได้แก่ รสงาขาว รสถั่วลิสงงาขาว และรสงาขาวเม็ดมะม่วงหิมพานต์ พร้อมทั้งได้จัดทำแพ็คเกจใหม่ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับเทศกาล เหมาะสำหรับเป็นของขวัญของฝากอีกด้วย

3.คุณนภาพร คูศิริวานิชกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคโค แรบบิท จำกัด จากผู้บริหารสถาบันการเงิน ผันตัวมาผลิตสินค้า Organic น้ำมันเพื่อสุขภาพระดับโกอินเตอร์

คุณนภาพรเล่าว่าส่วนตัวเป็นคนคิดนอกกรอบ และอยากที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองซึ่งขณะนั้นตนใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวและชื่นชอบในสรรพคุณอยู่แล้ว แม้ว่าหน้าที่การงานของเธอ ณ ขณะนั้นเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง เงินเดือนประจำ สวัสดิการต่างๆ สังคมแวดล้อม แต่นั่นไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของเธอ เธอคิดว่าการออกมาทำธุรกิจอย่างที่ฝันในขณะที่ยังมีแรง ยังมีโอกาสปรับปรุงพัฒนาและเริ่มต้นใหม่หากพลั้งพลาด ดีกว่ามาทำธุรกิจในวัยหลังเกษียณเพราะหากเกิดผิดพลาดก็ไม่มีโอกาสที่จะกลับมายืนขึ้นอีกครั้งได้ จากนั้นเธอจึงหันมาเริ่มค้นหาตัวเองว่าชอบทำในสิ่งไหน จนในที่สุดก็ค้นหาตัวเองเจอ ด้วยความเป็นคนที่ดูแลสุขภาพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กอปรกับใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะพร้าวเพื่อสุขภาพเป็นประจำ และเนื่องจากเธอเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศต่างๆ ทำให้ทราบข้อมูลว่าน้ำมันมะพร้าวไทยเป็นที่ต้องการของลูกค้าชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก เป็นโอกาสที่เธอจะนำเอาน้ำมันมะพร้าวเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ และได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีทีเดียว

สาเหตุที่น้ำมันมะพร้าว COCO RABIT ได้รับการตอบรับที่ดีนั้น เนื่องจากเธอได้รับโอกาสจาก SME D Bank ให้ไปออกบูทแสดงสินค้าที่ประเทศฮ่องกง ซึ่งครั้งนั้นเธอคิดแค่เพียงจะนำสินค้าไปแนะนำให้ต่างชาติรู้จักเท่านั้น แต่ปรากฎว่าสินค้าของเธอได้รับการตอบรับและมียอดสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก ปัจจุบัน COCO RABIT มีผลิตภัณฑ์จากน้ำมันมะพร้าวในหลากหลายกลุ่มสินค้า ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันมะพร้าวสำหรับรับประทานเพื่อสุขภาพ ครีมทาส้นเท้า ลิปสติกบำรุงริมฝีปาก ซึ่งสินค้าของประเภทของเธอล้วนมาจากธรรมชาติ ออร์แกนิก 100 %

“อยากฝากสำหรับผู้ที่ตั้งเป้าจะเป็นผู้ประกอบการ คุณต้องกล้าตัดสินใจ และตั้งเป้าหมายที่แน่วแน่ และลงมือทำอย่างจริงจัง และขอแนะนำว่าควรศึกษาตลาดให้แน่ใจก่อนว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ค้นหาความชอบและตัวตนของคุณเองว่าชอบอะไร ศึกษาอย่างละเอียด ดูความเป็นไปได้ แล้วลงมือทำ อุปสรรคแน่นอนว่าต้องมีบ้าง ต้องมีทัศนคติเชิงบวกหรือคิดบวกเข้าไว้ เดินหน้าต่อไปแล้วจะประสบความสำเร็จค่ะ”