ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ระบุว่า ปัจจุบันครัวเรือนไทยมียอดหนี้รวมกันมากถึง 16 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 90.6% ซึ่งสูงเกินกว่าระดับเฝ้าระวังที่ 80% ต่อ GDP ของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements: BIS) โดยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาหนี้ครัวเรือนขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากระดับ 59% ในปี 2553 สถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องสะท้อนถึงความเปราะบางทางการเงินและความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ด้วยเหตุนี้หน่วยงานภาครัฐ เอกชนและสถาบันการเงินจึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนด้วยการกำหนดมาตรการการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรมและพยายามหาแนวทางช่วยลดปัญหาหนี้เรื้อรังในภาคครัวเรือนด้วยความตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาดังกล่าว ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ภายใต้บทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หนึ่งในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จึงได้เริ่มนโยบาย “EXIM เพื่อการเงินในชุมชน” ขึ้น เพื่อให้ความรู้และคำปรึกษาด้านการเงินและแนะนำการทำบัญชีครัวเรือนให้ชุมชน รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้วิสาหกิจชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ ให้ได้รับความรู้ความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจเพื่อการส่งออกและนำเข้า แนวคิดด้านการสืบสานธุรกิจให้เดินต่อไปได้ เติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้โมเดลธุรกิจระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ ๆ ที่ต่อยอดจากแต้มต่อทางธุรกิจเดิมที่มีเพื่อสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ EXIM BANK ยังริเริ่มโครงการ “คลินิก EXIM เพื่อคนตัวเล็ก” ตรวจสุขภาพทางการเงิน ให้คำปรึกษาทางธุรกิจอย่างครบวงจร อาทิ การปรับแผนธุรกิจ การบริหารจัดการทางการเงิน และการให้คำปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างหนี้ แก้ไขหนี้เสีย และเติมเงินทุนเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบางให้สามารถชำระหนี้ต่อไปได้ตามความสามารถและเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องและฟื้นฟูธุรกิจให้สามารถเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจส่งออกได้
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ทั้ง 2 โครงการเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เป็น CSR ในกระบวนการทำงาน (CSR-in-process) และนอกกระบวนการปฏิบัติงาน (CSR-after-process) ซึ่ง EXIM BANK ได้ดำเนินการต่อเนื่อง เริ่มต้นจากชุมชนกลุ่มเปราะบางในเขตพญาไทและขยายผลสู่สังคมไกลมากยิ่งขึ้น โดยความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ดำเนินโครงการสัญจรไปยังจังหวัดต่างๆ และเมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารได้ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงพื้นที่ชุมชนห้วยน้ำเพี้ย บ้านเชตวัน ต.สันทะ อ.นาน้อย จ.น่าน ทำโครงการ “ชุมชนเข้มแข็ง ความเป็นอยู่ยั่งยืน” ให้ความรู้เรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนกับชาวบ้าน ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจและสร้างงานสร้างอาชีพให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ได้ให้ความรู้และแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องหนี้ครัวเรือนกับชาวบ้าน ต.สันทะ จ.น่าน จำนวนกว่า 50 คน โดยแนะนำว่า ครัวเรือนไม่ควรมีหนี้เกิน 70% ของรายได้ทั้งหมด เช่น หากมีรายได้เดือนละ 10,000 บาท ไม่ควรมีหนี้เกิน 7,000 บาท พร้อมแนะนำชาวบ้านให้แบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก 50% เป็นรายจ่ายที่จำเป็นสำหรับชีวิต ส่วนต่อมา 30% เป็นรายจ่ายเพื่อความสุขของตัวเอง และอีก 20% เป็นการออม และหากจำเป็นต้องเป็นหนี้ก็ควรเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต เช่น การซื้อเครื่องมือทำกิน เช่น เครื่องยนต์การเกษตร รถยนต์ที่จะใช้บรรทุกผลผลิตไปขาย
นอกจากการปรับพฤติกรรมทางการเงินของครัวเรือนเกษตรกรเองแล้ว เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเข้าไปช่วยสร้างงานเพิ่ม เนื่องจากเกษตรกรในจ.น่านส่วนใหญ่ปลูกข้าวโพดและยางพารา ซึ่งพืช 2 ชนิดมีราคาขึ้นลงตามการรับซื้อของพ่อค้า ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอที่จะใช้จ่ายในชีวิตและชำระหนี้ ต้องเพิ่มการปลูกพืชหรือทำอย่างอื่นที่สร้างรายได้มากกว่าเดิม ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มมีหน่วยงานที่เข้าไปช่วยให้เกษตรกรรวมตัวกันเลี้ยงผึ้งป่าและปลูกกะหล่ำปลีปลอดสารพิษแล้ว
“ปัจจุบันเกษตรกรไทย 60% มีหนี้ครัวเรือนเฉลี่ยอยู่ที่ 500,000 บาท ซึ่งหากทิ้งหนี้จำนวนนี้ไว้โดยไม่ชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 5 ปี ยอดหนี้จะพุ่งสูงขึ้นเป็น 1,200,000 บาท อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนเกษตรกรไทยในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 6,000 บาทต่อเดือน การที่เกษตรกรจะสามารถชำระหนี้จนหมดภายใน 5 ปี เป็นไปได้ยากมาก เพราะเขาจะมียอดผ่อนรวมเงินต้นและดอกเบี้ยอยู่ที่ 20,000 บาทต่อเดือน การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนจึงไม่ใช่การพักหนี้หรือลดหนี้ แต่เป็นการเข้าไปช่วยสร้างงานและเพิ่มรายได้ให้กับเขาแทน” ดร.รักษ์ กล่าว
นางบุษบา แก้วเดช อายุ 47 ปี หนึ่งในชาวบ้าน ต.สันทะ ที่เข้าร่วมโครงการ “ชุมชนเข้มแข็ง ความเป็นอยู่ยั่งยืน” ของ EXIM BANK กล่าวว่า ความรู้เรื่องหนี้ที่ธนาคารให้คำแนะนำเป็นความรู้ที่เข้าใจไม่ยากและสามารถนำมาปฏิบัติได้ จากเดิมที่ไม่เคยมีหลักคิดว่าจะแก้ไขหนี้ได้อย่างไร ทำได้แค่ปลูกข้าวโพด ยางพารา และกะหล่ำปลี ไม่มีรายได้ทางอื่น ก็เริ่มมองเห็นทางเลือกอื่นในการสร้างรายได้มากขึ้น
นายสุรพล แสนย่าง อายุ 42 ปี เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและกะหล่ำปลี เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีหนี้อยู่ 300,000 บาท แต่มีรายได้จากการปลูกพืชเดือนละ 6,000 บาท โดยรายได้จะผันผวนตามราคาผลผลิต ซึ่งขึ้นอยู่กับน้ำ เมื่อได้รับฟังหลักการแก้ไขหนี้ที่เข้าใจได้และไม่ยากเกินไป ทำให้รู้ถึงวิธีคำนวณสัดส่วนรายรับรายจ่ายที่นำไปปฏิบัติได้จริง
นอกจากนี้ โครงการ “คลินิก EXIM เพื่อคนตัวเล็กสัญจร จ.น่าน” ยังให้คำปรึกษากับ น.ส.เบญญาภา ขัติยะ ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งป่า ที่ขอคำปรึกษาเพื่อยกระดับสินค้าน้ำผึ้งป่าให้เป็นสินค้าส่งออกและ น.ส. แสงจันทร์ อำนวยผล เจ้าของฟาร์มรักษ์หอยเชอรี่สีทองใน ต.สันทะ ที่อยากขยายตลาดหอยเชอรี่ให้มีแหล่งจำหน่ายได้มากขึ้น
ดร.รักษ์ กล่าวว่า การช่วยเหลือให้เกษตรกรมีอาชีพเสริมเป็นการต่อยอดสร้างรายได้ให้มีความสามารถชำระหนี้ได้มากขึ้นแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ระดับหนึ่ง ซึ่ง EXIM BANK จะสานพลังกับพันธมิตรอย่าง สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ช่วยพัฒนาน้ำผึ้งป่าให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและมีคุณสมบัติทางโภชนาการและคุณสมบัติทางยา ส่วนหอยเชอรี่ต้องพัฒนาโดยแปรรูปสินค้า นอกเหนือจากการบริโภคสด
“EXIM BANK มีลูกค้าเป็นผู้ผลิตน้ำผึ้งและผลิตภัณฑ์จากผึ้งครบวงจรอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ธนาคารจะติดต่อให้กลุ่มเกษตรกร จ.น่าน ขึ้นไปเรียนรู้เทคโนโลยีการเลี้ยงผึ้งและการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผึ้งเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอด เรียนรู้ ฝึกฝนดำเนินการอีกหลายขั้นตอน เพื่อให้เติบโตเป็นผู้ส่งออกได้ สำหรับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ EXIM BANK มีความร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อยู่แล้วในการช่วยออกแบบให้ทันสมัยและดึงดูดใจลูกค้า หากยังส่งออกไม่ได้ อาจจะยกระดับเป็นสินค้าโอทอปส่งขายในตลาดที่กว้างขึ้นไปก่อน” กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าว
ในเวลาเดียวกัน EXIM BANK ยังสนับสนุนแผงโซลาร์เซลล์เพื่อนำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับเครื่องสูบน้ำเพื่อผันน้ำขึ้นสู่ที่สูง ส่งผลให้พื้นที่มีน้ำใช้เพื่อการอุปโภคและบริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะการผันน้ำขึ้นไปกักเก็บเป็นบ่อและขยายการใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำด้วยการเลี้ยงปลาเพื่อบริโภค และต่อยอดเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในอนาคต รวมทั้งใช้โซลาร์เซลล์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในศูนย์การเรียนรู้บ้านดิน เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการสร้างที่อยู่อาศัยและใช้พลังงานสะอาดเพื่อความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนต่อไป โดยได้รับการสนับสนุนแผงโซลาร์เซลล์จากลูกค้าธนาคาร ได้แก่ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี่ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สนับสนุน Solar Panels ขนาด 240 W จำนวน 42 แผ่น รวม 10 kW & Inverter ขนาด 5 kW จำนวน 2 เครื่อง และบริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สนับสนุน Solar Panels จำนวน 20 แผ่น รวม 6.5 kW
“ชุมชนห้วยน้ำเพี้ยเป็นพื้นที่ประสบภัยแล้งหนักเป็นเวลานาน ทำให้พื้นดินปลูกพืชไร่ได้เพียงปีละครั้ง ผลผลิตขายได้ราคาต่ำ ดินเสียจากการใช้ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง และเผาตอซังข้าวโพดเป็นเวลานาน เกิดปัญหาเกษตรกรบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อเคลื่อนย้ายพื้นที่ปลูกพืชไร่ การนำโมเดล Green Development ไปใช้สร้างความกินดีอยู่ดีให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ช่วยให้ชุมชนมีทั้งไฟฟ้าและน้ำใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและทำการเกษตรได้ตลอดปี แก้ปัญหาภัยแล้ง ลดการบุกรุกพื้นที่ป่า ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากดินเสียและมลพิษ สร้างโอกาสให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในชุมชนอย่างเป็นบูรณาการและยั่งยืน เนื่องจากเกษตรกรสามารถปลูกไม้ยืนต้นและไม้ผลอื่น ๆ เช่น ทุเรียน โกโก้ อะโวคาโด อินทผลัม เพื่อการบริโภคและสร้างรายได้ครัวเรือนได้มากขึ้น และผลผลิตมีมูลค่าสูงกว่าพืชไร่” ดร.รักษ์ กล่าว