ปัจจุบันธุรกิจบนโลกออนไลน์มาแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าทุกประเภทสินค้าก็สามารถนำมาขายออนไลน์ได้หมด วันนี้ ชี้ช่องรวย จะมาแนะนำถึงการขายอาหารออนไลน์ให้กับใครก็ตามที่กำลังจะเริ่มธุรกิจนี้จะต้องเตรียมตัวอย่างไร ให้พร้อมรองรับความต้องการของลูกค้ามาดูกันเลยดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง
1.ขายอาหารประเภทไหน
ไม่ใช่อาหารทุกชนิดที่จะขายออนไลน์ได้ เนื่องจากข้อจำกัดในการขนส่งบ้าง รสชาติอาหารหลังจากปรุงเสร็จบ้าง หรือวัตถุดิบบางชนิดก็เก็บได้ไม่นานอย่างที่คิด ซึ่งประเภทของอาหารก็แตกต่างกันไป มีตั้งแต่อาหารสด อาหารแห้ง อาหารปรุงสำเร็จ เบเกอรี่ อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ อาหารของเราต้องมีเอกลักษณ์และแตกต่างจากเจ้าอื่น เนื่องจากลูกค้ามีตัวเลือกเยอะมาก จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างเรื่องราวให้กับอาหาร ให้ดูมีความน่าสนใจเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าอยากซื้อ
2.ขายราคาเท่าไหร่
ราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพของอาหาร เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ นอกจากค่าอาหารแล้ว ยังมีในส่วนของค่าจัดส่งที่ต้องคำนึงด้วย กรณีที่ขายเฉพาะบางพื้นที่ ใช้เวลาจัดส่งไม่นาน เมื่อรวมค่าส่งแล้วไม่ควรแพงไปกว่าการที่ลูกค้าเดินทางไปซื้อเอง เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าจะเดินทางไปทานที่ร้าน หรือสั่งออนไลน์ก็คุ้มค่าพอ ๆ กัน และอย่าลืมคำนึกถึงค่าจัดว่งด้วย เพราะเรื่องนี้ก็เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจของลูกค้าด้วยเช่นกัน
3.บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม
หน้าตาของอาหารถือเป็นสิ่งที่ชวนให้เกิดความอยากรับประทาน อยากสั่งซื้อก็จริง แต่ในส่วนของรูปแบบบรรจุภัณฑ์เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ต้องดูดี สะอาด ปลอดภัย สามารถนำไปอุ่นได้ทั้ง บรรจุภัณฑ์ ทำให้ง่ายและสะดวกต่อลูกค้า และยิ่งถ้าเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ง่าย เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคได้เห็นถึงความใส่ใจในการเลือกบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค และเพื่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
4.รูปแบบของการชำระเงิน
ทุกวันนี้มีระบบการชำระเงินหลากหลายรูปแบบมาก มีให้เลือกทั้งแบบชำระก่อนแล้วค่อยส่ง เก็บเงินปลายทาง โอนเงิน ตัดบัตรเครดิต/เดบิต ยิ่งมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย ก็เป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น ถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้ทั้งสองฝ่าย เรียกได้ว่าวินวินทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเลยทีเดียว
5.ช่องทางการขาย
สำหรับช่องทางการขายก็มีให้เลือกอยู่มากมาย แต่สิ่งสำคัญควรเลือกช่องทางการติดต่อโดยคำนึงถึงความสะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากมีการพูดคุยกับลูกค้าเป็นจำนวนมาก หากใช้ช่องทางที่เยอะเกินไปจนไม่สามารถจัดการได้ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด
- Facebook
จัดเป็นช่องทางหลักสำหรับการโปรโมทร้าน รับลูกค้าใหม่ เอาไว้ลงคอนเทนต์เกี่ยวกับเมนูอาหารที่เราพร้อมเสิร์ฟให้กับผู้บริโภค หรือลงภาพตัวอย่างอาหาร รวมไปถึงโปรโมทโปรโมชั่นต่าง ๆ และยังสามารถลงโฆษณาได้อีกด้วย
- Instagram
ช่องทางนี้เหมาะกับรูปภาพที่สวยมาก ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า อย่างเช่นร้านเบเกอรี่ เพราะการถ่ายภาพเบเกอรี่ออกมาให้สวย จัด Compose ภาพจะง่ายกว่าอาหารคาว และแน่นอนว่าตอนนี้ไอจีก็สามารถลงโฆษณาได้แล้วเหมือนกัน
- Line
ช่องทางนี้เน้นรับลูกค้าเก่า ไว้โปรโมท กระจายโปรโมชั่นต่าง ๆ และสามารถรับออเดอร์ในนี้ได้ด้วย ช่วยลดขั้นตอนบางอย่างจากช่องทางอื่น ๆ ได้ดีเลยทีเดียว
Food Delivery
ปัจจุบันเราจะเห็นช่องทางการสั่ง Food Delivery มากมาย ซึ่งถ้าเรามีร้านอาหารเป็นของตัวเอง เราก็สามารถเข้าไปเป็น Partner กับช่องทางเดลิเวอรี่เหล่านี้ได้ เช่น
- Line Man : สามารถเปิดร้านบน Line Man ฟรี จะลงทะเบียนผ่านลิงก์ด้านล่างนี้ หรือใช้แอปฯ Wongnai Merchant App (WMA) และรับออเดอร์เดลิเวอรีของ LINE MAN ผ่านทางแอปฯ ได้เลยทันที
- Grab : จะคิดค่าคอมมิชชั่น 30% จากรายการอาหารที่ถูกสั่งผ่าน Grab และต้องใช้สมาร์ทโฟนระบบแอนดรอยด์และอีเมลที่เป็น @gmail สำหรับดาวน์โหลดและลงทะเบียนเข้าแอปฯ ร้านค้า (GrabFood Merchant App) เพื่อรับคำสั่งซื้อ
- Get : จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่น 30% จากรายการอาหารที่ถูกสั่งซื้อเช่นเดียวกับ Grab แต่ใช้ระบบ GoBiz ในการรับออเดอร์ เช็กยอดขาย หรือแก้ไขร้าน, เมนูในร้าน และต้องใช้ สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตระบบแอนดรอยด์เท่านั้น
- Food Panda : จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่น 30% จากรายการอาหารที่ถูกสั่งซื้อ และมีนโยบายการันตีราคา ร้านอาหารจึงไม่สามารถปรับขึ้นราคาอาหารจากปกติได้นั่นเอง
6.เวลาการจัดส่ง และระยะเวลาการเก็บรักษาอาหาร
ในกรณีคุณเปิดร้านขายอาหารสดหรืออาหารที่ผ่านการปรุงแล้ว ก็ควรต้องคำนึงถึงเรื่องเวลาที่ใช้ในการจัดส่งรวมถึงเวลาในการเก็บรักษา อาหารบางประเภทต้องรับประทานขณะอุ่น ๆ เพราะอาจทำให้รสชาติดร็อปลง อย่างน้อยควรแนบคำแนะนำวิธีการอุ่นให้แก่ลูกค้าโดยที่ยังคงรสชาติของอาหารตามเดิม ก็อาจได้ใจลูกค้าเพิ่มก็ได้