Siam Outlet เกิดขึ้นจากความคิดของ 2 ร่วมผู้ก่อตั้ง คือ ชญาภัค สหัชอติเรกลาภ และ ชนะชัย พฤกษชัต ที่ต่างก็คร่ำวอดอยู่ในวงการขายของออนไลน์และด้านให้บริการมานาน ทำให้เห็นอุปสรรคและปัญหาของร้านค้าออนไลน์เจอเป็นประจำ รวมทั้งเห็นถึงอัตราการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce ในเมืองไทยที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท จึงได้เป็นพัฒนาระบบ Service ขึ้นมาเพื่อให้ตอบสนองร้านค้าออนไลน์ที่กำลังขยายตัว
โมเดลธุรกิจของ Siam Outlet คือ Co-Warehousing Space โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ โกดังสินค้าของ Siam Outlet เอง ที่จะแบ่งพื้นที่เก็บสินค้าให้ร้านค้ามาใช้ร่วมกัน และอีกส่วนคือ ร่วมกับโกดังที่อื่นๆ ให้ช่วยเอา Order ของร้านค้าออนไลน์ที่เป็นลูกค้าของ Siam Outlet ไปบริหารจัดการภายใต้มาตรฐานเดียวกัน
สำหรับการให้บริการจะมี 3 ส่วน คือ
- เก็บสินค้า ด้วยโกดังมาตรฐานออกแบบมาสำหรับร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะ มีประกันการชำรุดและสูญหายของสินค้า พร้อมกับบริการรับสินค้าถึงบ้าน มีการตรวจเช็คสินค้าก่อนจัดส่ง เพื่อให้มั่นใจว่าของทุกชิ้นจะถึงมือลูกค้าในสภาพสมบูรณ์ ส่วนร้านค้ายังสามารถตรวจสอบสต๊อกได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านเว็บไซต์ ส่วนค่าบริการ เดือนละ 200 บาท ต่อ 1 ชั้นวาง ขนาด 50x100x45 เซนติเมตร สามารถวางสินค้าได้ไม่เกิน 8 SKU
- แพ็คสินค้า มีการเลือกกล่องที่เหมาะสม ตรวจสอบสินค้าแล้วแพ็คอย่างประณีต ทุกกล่องมีรับประกันความเสียหายและสูญหาย ค่าบริการ เริ่มต้นที่ 13 บาท (ขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า) รวมอุปกรณ์และค่าหยิบ 1 ชิ้น ชิ้นต่อไป 5 บาทต่อชิ้น
3.ส่งสินค้า บริการจัดส่งหลายช่องทาง โดยร่วมกับบริษัทขนส่งทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่น เพื่อให้ถึงมือผู้รับอย่างราบรื่นและรวดเร็วที่สุด เช่น ไปรษณีย์ไทย, deriveree, DHL, Grab, lalamove, SendIt เป็นต้น โดยคิดค่าบริการในอัตราเดียวกันกับค่าส่งปกติของผู้ให้บริการ ไม่มีชาร์จเพิ่ม
หลังจากเปิดมาร่วม 2 ปี ก็มีผู้ใช้บริการมากกว่า 200 ราย จัดส่งสินค้าออกจากโกดังเฉลี่ย 80,000 ออร์เดอร์ต่อเดือน โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพนักงานประจำที่ขายของออนไลน์เป็นอาชีพเสริม พอเริ่มขายดีแล้วก็แพ็คของไม่ทัน จึงมาให้ Siam Outlet ช่วยจัดการ ทำให้สามารถมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้ โดยไม่ต้องลาออกจากงานเดิม นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าที่ขยายตัวเร็วจนแพ็คของไม่ทัน ขณะที่บางรายอาศัยอยู่ต่างประเทศที่ส่งสินค้าเข้ามาขายในประเทศไทยอีกด้วย
ปัจจุบัน Siam Outlet ได้ปรับองค์กรให้บริหารงานแบบหลัก “ไคเซ็น” โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้าน e-LogiT จากญี่ปุ่นมาให้คำปรึกษา เพื่อพัฒนาระบบและบริหารพื้นที่จัดเก็บของ ทำให้วางสินค้าได้มากขึ้น พนักงานหยิบของได้รวดเร็วถูกต้อง พร้อมกับนำระบบซอฟต์แวร์มาช่วยตรวจสอบข้อมูลการแจ้งออเดอร์ที่ซ้ำซ้อน เพื่อลดความผิดพลาด อนาคตจะเริ่มทดสอบส่งสินค้าที่ต้องรักษาความเย็นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 จะมีจำนวนสินค้าที่ส่งออกจากโกดังเดือนละกว่า 100,000 ออร์เดอร์ และมีร้านค้าออนไลน์ใช้บริการเพิ่มขึ้น 200%
สำหรับผู้สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.siamoutlet.com
ขอบคุณภาพจาก facebook: siamoutlet
