“Strawberry Club” เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่จำหน่ายสินค้าราคาเดียว 10 บาท ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลา 13 ปี และแม้จะเข้าสู่รูปแบบแฟรนไชส์ได้ไม่นาน แต่สามารถขยายสาขาได้ถึง 90 สาขาทั่วประเทศ ด้วยฝีมือของ ณัทกร ชัยพันธ์ ผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจจากเงินแค่ 800 บาท เป็นผู้ที่ทำให้ Strawberry Club เติบโตมาได้จนถึงขณะนี้
ณัทกรเล่าว่าในช่วงแรกเริ่มขายของกิ๊ฟช็อปชิ้นละ 10 บาท และเริ่มพัฒนานำสินค้าที่หลากหลายมาจำหน่ายมากขึ้น และตั้งชื่อร้าน Strawberry Club จนเป็นรูปเป็นร่างมีสินค้ากว่า 1,000 รายการ แบ่งออกเป็น 6 หมวดได้แก่ กิ๊ฟช็อป, ของใช้, อุปกรณ์ IT, กระเป๋าช้อปปิ้ง, งานไม้, อุปกรณ์เสริมสวย เป็นต้น
นอกจากความโดดเด่นในเรื่องของราคาแล้วสินค้าที่นำมาจำหน่ายยังมีความหลากหลาย อาทิ เครื่องเขียน กิ๊บติดผม โบว์ ของใช้กระจุกกระจิก เคสมือถือ กระเป๋าช้อปปิ้งงานไม้ หวี อุปกรณ์เสริมสวย กล่องของขวัญ และอื่นๆอีกมากมาย ที่สั่งตรงจากโรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังจากดำเนินธุรกิจจนเป็นที่ยอมรับจึงพัฒนาเป็นรูปแบบของแฟรนไชส์เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น
สำหรับรูปแบบการลงทุนมีให้เลือก 3 ขนาด ได้แก่ 1.Lovely Shop 480,000 บาท 2.Pretty Shop 650,000 บาท เหมาะสำหรับมีหน้าร้านของตัวเองหรืออาคารพาณิชย์ มีพื้นที่ตั้งวางโชว์สินค้า จะได้รับสินค้าพร้อมอุปกรณ์ตกแต่งในการจำหน่าย และ 3.ดีลเลอร์ ลงทุนประมาณ 1 ล้านบาท เป็นตัวแทนกระจายสินค้าไปยังแฟรนไชซี
สินค้าแต่ละชิ้นสามารถทำกำไรได้ 25-30% จากราคาจำหน่าย มีระยะเวลาคืนทุนที่ตั้งไว้ 4-6 เดือน ทั้งนี้แฟรนไชซีที่อยู่ในกรุงเทพฯ สามารถเข้ามาเลือกสินค้าได้ที่โกดัง ลูกค้าต่างจังหวัดสั่งซื้อสินค้าผ่าน Line พร้อมจัดส่งได้ในทันที
ณัทกรบอกอีกว่า สิ่งสำคัญของการขายสินค้าราคาเดียว คือ สินค้าต้องแบ่งเป็นหมวดหมู่ชัดเจน มีความสวยงามในการจัดเรียง เติมสินค้าให้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะช่วยดึงดูดลูกค้าให้สนใจมากขึ้น คนที่จะทำธุรกิจค้าขายต้องมีใจรัก และรู้ถึงความต้องการของลูกค้าด้วย
“Strawberry Club ได้สร้างระบบแฟรนไชส์ไว้ให้ลูกค้าอย่างดี โดยพื้นที่จำหน่ายจะไม่ทับซ้อนกันนั่นจึงสร้างโอกาสให้แฟรนไชซีสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น พร้อมทั้งคอยให้คำปรึกษาและพัฒนาธุรกิจ นำสินค้าใหม่ที่มีคุณภาพมาขายอยู่ตลอดเวลา” ณัทกร กล่าวทิ้งท้าย
Food Truck ที่ดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยมในขณะนี้ จนธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มหลากหลายค่ายให้ความสนใจ ปรับเปลี่ยนให้มาอยู่ในรูปแบบร้านมากขึ้น แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่เข้าใจรูปแบบของธุรกิจมากเท่าที่ควรวันนี้ ชี้ช่องรวย จึงอยากจะมาบอก 6 เรื่องสำคัญต้อ
ใครที่กำลังคิดจะเปิดร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ด สินค้าราคาเดียว ห้ามพลาดสิ่งนี้ วันนี้ ชี้ช่องรวย มีเทคนิคดีๆ มานำเสนอกันอีกแล้ว กับ 3 รูปแบบ 9 วิธี สำหรับขายสินค้าเบ็ดเตล็ด สินค้าราคาเดียว ที่จะทำให้ร้านของคุณนั้นประสบความสำเร็จ มียอดขายทะลุเป้าได้ไม่ยากหากทำ
การทำธุรกิจอะไรก็ตามแต่ การมีทำเลที่ดี ก็จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น ดั่งคำที่ว่า “ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” แต่รู้หรือไม่ว่าต่อให้ทำเลดีแค่ไหน หากไม่เหมาะกับธุรกิจนั้นๆ มันก็ไม่มีประโยชน์ วันนี้ ชี้ช่องรวยจึงอยากจะมาแนะนำ 6 ประเภทภาพรวมว่าควรจะเลือกทำเลแบบไหนถึงจะดีที่สุด 1.โฮมออฟฟิศ ปัจจุบันโฮมออฟฟิศเป็นที่นิยมมากของผู้ประกอบการรายใหม่ โดยการดัดแปลงห้องภายในบ้านให้กลายเป็นที่ทำงาน แน่นอนว่าการใช้ที่พักอาศัยเป็นที่ทำงานจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่ข้อเสียที่ต้องทำใจคือ อาจพักผ่อนได้ไม่เต็มที่เพราะหันไปทางไหนก็มีแต่กองงาน และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะทำให้ขาดแรงกระตุ้น แรงบันดาลใจต่างๆ ดังนั้นคุณควรช่างน้ำหนักให้ดีว่าจะเลือกความเป็นส่วนตัวหรือเลือกงาน หากเลือกความเป็นส่วนตัวก็ควรเลือกทำที่สงบ ถ้าต้องการมีแรงกระตุ้นในการทำงาน ควรเลือกทำเลที่มีคนพลุกพล่าน นอกจากนี้คุณควรคำนึงถึงหลักกฎหมายด้วยว่าบ้านของคุณสามารถดัดแปลงเป็นที่ทำงานได้หรือไม่ 2. แฟรนไชส์ ร้านค้าปลีก หรือการบริการต่างๆ รูปแบบนี้เราอาจจะพบเห็นกันโดยทั่วไป ซึ่งหลักการสำหรับร้านขายปลีก และร้านบริกานั้นจะต้องเป็นจุดสังเกต ดึงดูดลูกค้า เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ตลาด ย่านชุมชน หรือเลือกทำเลที่อยู่ใกล้กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากเปิดร้านเครื่องเขียนก็ควรตั้งอยู่ใกล้โรงเรียน ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นควรตั้งอยู่ในศูนย์การค้า ร้านอาหารตามสั่งอยู่ในแหล่งที่มีหอพัก เป็นต้น ทั้งนี้ข้อควรระวังอีกอย่างคือ อย่าตั้งร้านใกล้ร้านดังที่ขายสินค้า และบริการแบบเดียวกับคุณเด็ดขาด เพราะมีความเสี่ยงที่ลูกค้าจะไม่ใช้บริการร้านเปิดใหม่ของคุณ 3.ธุรกิจเคลื่อนที่ หรือ Food truck หากคุณจะทำธุรกิจเคลื่อนที่ คุณจำเป็นต้องมีพาหนะที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณเสียก่อน ซึ่งพาหนะนี่แหละที่จะพาสินค้าและบริการของคุณไปสู่ทำเลที่ดี […]
