ศูนย์รวมแฟรนไชส์น่าลงทุน

แฟชั่นหรูหรา ย้ายรันเวย์ พาเหรดสู่สิงคโปร์


“ผู้คนต่างคาดหวังว่าคุณจะใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ ที่มีสไตล์ ที่ยังไม่เคยมีใครเห็นคุณใส่มาก่อน และนี่จึงกลายเป็นกิจกรรมที่มีราคาแพง โชคไม่ดีที่ส่วนใหญ่แล้วคุณใส่บางชุดเพียงแค่ 2 หรือ 3 ครั้งเท่านั้น ก่อนที่สังคมจะเริ่มตัดสินตัวคุณที่การแต่งตัวแบบที่คุณชอบ”

 

Moran บอกว่าถึงแม้เธอจะไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายเอาไว้ แต่ก็สามารถประมาณคร่าวๆ ได้ว่า คอลเล็กชั่นสะสมของเธอทั้งกระเป๋าและ
ชุดราตรีนั้นมีมูลค่าราวๆ แสนเหรียญสหรัฐฯ นอกเหนือจากอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยนี้แล้ว สิ่งที่ทำให้ Mrs.Moranภูมิใจก็คือเธอมาจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีการคาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายสินค้าฟุ่มเฟือยจะมีมากที่สุดในโลกในปีนี้

 

เปิดตัวครั้งแรก

จุดเริ่มต้นแห่งความ “หรูหรา” และลุกลามไปทั่วอาเซียน อยู่ที่ “สิงคโปร์” ประเทศที่มีเศรษฐีครัวเรือนต่อหัวมากที่สุดในโลก เหล่าดีไซเนอร์เสื้อผ้าชั้นสูงหันมาสนใจเมืองที่สุขุมนุ่มลึกนี้อย่างจริงจัง ภายในหนึ่งสัปดาห์ของเดือนพฤษภาคม (ปี 2014)

 

เกาะแห่งนี้ก็ต้อนรับดีไซเนอร์ชื่อดังขึ้นสู่ฝั่งมากกว่าในอดีต เหล่าบรรดาดาราคนดังของที่นี่ต่างสวมใส่ Cruise Collection ของแบรนด์หรูหราอย่าง Chanel (ชาแนล) ไปจนถึงงานเปิดตัวเทศกาลแฟชั่นประจำปีของเมือง

ปราสาทสไตล์สก็อต พระราชวังแวร์ซายน์ รวมถึงสถานที่สุดหรูอลังการ ล้วนเคยเป็นสถานที่แสดงแฟชั่นโชว์ของ Karl Lagerfeld ดีไซเนอร์แบรนด์ Chanel มาแล้วทั้งสิ้น การตัดสินใจที่จะเลือกสถานที่อื่นๆ ในสิงคโปร์เพื่อแสดงแฟชั่นโชว์ ล้วนผ่านการพิจารณาจาก Bruno Pavlovskyประธานฝ่ายแฟชั่นของ Chanel

 

“เรามองเห็นว่าสามารถพัฒนาตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าได้ในภูมิภาคนี้ และนั่นจึงทำให้เราตัดสินใจที่จะออร์แกไนซ์เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นงานแรกในระดับนี้ที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

 

สิงคโปร์ ศูนย์กลางแบรนด์เนม

Carolina Herrera (แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังที่มีออฟฟิศหลักอยู่ในนิวยอร์ก) คอลเล็กชั่นที่มีแรงบันดาลใจจากงานวินเทจของเธอ ได้เป็นงานเปิดตัว Audi Fashion Festival 2014 ซึ่งนับเป็นงานที่มีบิ๊กเนมอย่าง Zac Posen และ Roberto Cavalliเคยได้โชว์ผลงานมาแล้วในอดีต

 

“นี่เป็นทริปมาสิงคโปร์ครั้งแรกของฉัน ฉันได้รับเชิญให้มางานเฟสติวัลและมาเปิดสาขาที่นี่ด้วย เอเชียเป็นสถานที่ที่อยู่ในใจของฉันเสมอมา และฉันคิดว่ามันสำคัญสำหรับพวกเราจริงๆ”

 

กระเป๋าแฮนด์เมดประดับประดาด้วยกล้วยไม้รุ่น Limited-Edition ของเธอ ผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับร้านค้าในสิงคโปร์ สนนราคาราวๆ
2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขายหมดเกลี้ยงภายในค่ำคืนเดียว

 

ส่วนดีไซเนอร์กระเป๋าชาวอังกฤษที่ชื่อ Anya Hindmarchก็กำลังโปรโมทสินค้าของเธอที่นี่เช่นกัน สิงคโปร์เปรียบเป็นประตูสำคัญไปสู่
ส่วนที่เหลือในภูมิภาค ซึ่งรวมไปถึงตลาดเกิดใหม่ของมาเลเซียและอินโดนีเซียอีกด้วย

 

“สิงคโปร์เมืองแห่งการเงินนี้เป็นศูนย์กลางการค้าที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก” Hindmarchกล่าว “เป็นเมืองแห่งน้ำที่น่าทึ่ง ถึงแม้จะเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีใครคิดถึงแต่กลับมีฐานลูกค้าที่ยอดเยี่ยม มีเมืองเล็กที่มีความสำคัญแบบนี้ไม่มากนักหรอก

 

ปี 2014 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นภูมิภาคที่ผลักดันการเจริญเติบโตของตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยในเอเชีย นักวิเคราะห์แห่ง Bain and Co คาดการณ์ว่ายอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยจะเติบโตขึ้น 20% จากปี 2556 ในทางตรงข้าม ถึงแม้การเจริญเติบโตของเสื้อผ้าแฟชั่นในจีนแผ่นดินใหญ่ (ที่รวมไต้หวันและฮ่องกง) คาดกันว่าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีตัวเลขน้อยกว่าสิงคโปร์ 6%

 

PPR และ Richemonรายงานการชะลอตัวของกลุ่มบริษัทสินค้าสุดหรูอย่าง LVMH ในประเทศจีนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เนื่องมาจากการปราบปรามการคอร์รัปชั่นของรัฐบาลที่ส่วนใหญ่หมดไปกับของขวัญฟุ่มเฟือย และยังรวมไปถึงการเติบโตของเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงอีกด้วย

 

Lorna Hall จาก WGSN ผู้ให้คำปรึกษาผู้ค้าปลีกแฟชั่น บอกว่า แบรนด์ที่มีสาขาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เศรษฐกิจกำลังเจริญเติบโต และนั่นก็เป็นตัวเร่งให้หลายธุรกิจหันมามองตลาดนี้ และคิดว่ามีอะไรสำหรับพวกเราบ้าง หรือพวกเราควรจะวางแผนอย่างไร พวกเขาโฟกัสที่ตลาดนี้มานานแล้ว

 

“นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีงามสำหรับแฟชั่นยุโรป ที่ซึ่งตลาดในบ้านตัวเองกำลังซบเซา ตลาดยุโรปกำลังทำเงินได้น้อย ขณะที่เรากำลังไปได้สวยในเอเชีย เรากำลังเติบโตในประเทศเหล่านี้ เราสามารถชดเชยส่วนที่เราไม่ได้ทำตลาดในยุโรปกับประเทศใหม่ๆ นี้ได้” Bruno Pavlovskyแห่ง Chanel กล่าว

 

Karl Lagerfeld กับตำแหน่ง Artistic Director แห่ง Chanel สรุปความรู้สึกที่มีต่อภูมิภาคอาเซียนว่า เป็นภูมิภาคที่มีสไตล์ค่อนข้างมาก ที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญสำหรับทุกคน อนาคตของแฟชั่นโลกอยู่รอบๆ ที่นี่มากกว่าดินแดนยุโรปเก่าเสียอีก

 

 

 

ยอดขายสินค้าหรูหรา ปี 2556

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 20%

อเมริกาใต้ 12%

จีน (รวมไต้หวัน ฮ่องกง และมาเก๊า) 6%

ตะวันออกกลาง 5%

ยุโรป 0-2%ที่มา : Bain and Co