ศูนย์รวมแฟรนไชส์น่าลงทุน

วิธีการสังเกตตัวเองแบบไม่ต้อง “มโน” ว่าติดหรือไม่ติด โควิด-19


นี่เราติดหรือยังนะ?? คงจะเป็นคำถามของใครหลายๆ คนในช่วงนี้ เพราะไม่แน่ใจว่าบางครั้งการที่เราไอ จาม หรือหายใจไม่สะดวกนั่นเป็นเพราะเราติดเชื้อไวรัส โควิด-19 หรือไม่ เพราะเจ้าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ในบางรายอาจจะยังไม่แสดงอาการอะไรเลย หรือบางคนอาจจะหายได้เองทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทางของแต่ละคน คำถามคือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราได้รับเชื้อนั้นมาแล้วหรือยัง

สำหรับคนที่ยังไม่แสดงอาการอะไรเลย กระทรวงสาธารณะสุขแนะนำว่าอย่าเพิ่งไปตรวจหาเชื้อ เพราะแม้ว่าเราจะได้รับเชื้อนั้นมาจริงๆ แต่ถ้าตรวจเร็วไปปริมาณเชื้อนั้นยังน้อยอาจจะทำให้ผลตรวจคลาดเคลื่อนได้ พอผลเป็นลบอาจจะคิดว่าไม่ติด แต่จริงๆ แล้วติดเชื้อ แต่ยังอยู่ในระยะฟักตัว ซึ่งระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสตัวนี้จะอยู่ที่ประมาณ 5 วัน และจะเริ่มส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนของเราก่อน นั่นก็คืออวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจเหนือกล่องเสียงขึ้นไปซึ่งรวมไปถึง จมูก

ทั้งนี้ มีรายงานจากแพทย์ด้านทางเดินหายใจออกมาบอกว่า ผู้ที่ตรวจพบเชื้อแต่ไม่แสดงอาการหลายราย มักจะสูญเสียความสามารถในการรับกลิ่นและรสชาติอย่างฉับพลัน เช่น อยู่ดีๆ ก็ไม่ได้กลิ่นยาสระผมที่ตัวเองใช้เป็นประจำ หรือไม่ได้กลิ่นหรือรับรู้รสชาติของอาหารที่ตัวเองกำลังรับประทานเข้าไป

สำหรับขั้นแรกอาการของโรคโควิด-19 มีอยู่ 2 อาการหลักๆ คือ 1.อาการไอแห้ง 2.อาการไข้ ถ้าหากมีอาการจามบ่อยครั้ง น้ำมูกไหล หรือปวดหัว อาจจะไม่ใช่อาการของโควิด-19 แต่เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นไข้หวัดทั่วไป
แล้วจะต้องมีไข้สูงเท่าไร และอาการไอแห้งหมายความว่าอะไรกันแน่ มาดู

-อาการไอแห้ง คือ เมื่อเราไอแต่ไม่มีเสมหะ พูดง่ายๆ คือ ถ้าเอาทิชชู่ปิดปากตอนไอก็จะไม่มีเมือกอะไรออกมาบนทิชชู่เลย แต่ถ้าอยู่ดีๆ เกิดไอขึ้นมาครั้งเดียวก็อาจจะยังไม่ใช่ เพราะอาการไอแห้งของโรคโควิด-19 จะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่การกระแอมหรือการไอที่เกิดขึ้นจากสูบบุหรี่

-ส่วนอาการไข้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายของเราเกิดการต่อสู้กับเชื้อไวรัส ซึ่งหากเราเคยไม่สบายตัวร้อนมาก่อนก็จะทราบอาการคร่าวๆ ได้ อุณหภูมิร่างกายเราจะสูงกว่า 37.8 องศาเซลเซียส ในกรณีที่ไม่มีที่วัดอุณหภูมิ ก็สามารถสังเกตอาการตัวเองได้ว่าจะรู้สึกร้อนกว่าปกติ บริเวณหน้าอกและหลังก็จะร้อนด้วย หากมีอาการอย่างนี้ต่อเนื่อง 1-2 วันแล้วยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแย่ลงก็ควรไปพบแพทย์ เพราะเชื้อไวรัสอาจจะรุนแรงขึ้นเมื่อลงปอดจะทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบากและอาจทำให้ปอดบวมได้ ส่วนกรณีที่ร้ายแรงก็อาจจะทำให้อวัยวะภายในล้มเหลวและเสียชีวิต เป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถต้านทานกับเชื้อไวรัสได้

อย่างที่บอกว่า บางคนที่ได้รับเชื้อเข้าไปแล้วแทบจะไม่แสดงอาการหรือมีอาการน้อยมากๆ ทำให้ออกไปใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ และเป็นสาเหตุให้เชื้อไวรัสตัวนี้สามารถแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว

เพราะฉะนั้นในช่วงนี้จึงได้มีมาตรการที่ทุกคนทำในสิ่งที่เรียกว่า SOCIAL DISTANCING ก็คือการเว้นระยะห่างทางสังคมนั่นเอง ไม่ไปในที่ที่แออัด งดออกงานปาร์ตี้ ทำงานที่บ้าน เพื่อชะลอและหยุดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็มีวิธีการป้องกันตัวเอง คือ เว้นระยะห่างจากคนอื่น ประมาณ 1-2 เมตร เอาเอามือไปสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์

ที่มา : BBC NEWS ไทย