ศูนย์รวมแฟรนไชส์น่าลงทุน

พ่อค้า แม่ค้า รู้ไว้ ขายของออนไลน์ จะต้องเสียถาษีอย่างไร


ปัจจุบันหนึ่งในอาชีพยอดนิยมคงหนีไม่พ้นการ “ขายของออนไลน์” ที่ทำให้เกิดเม็ดเงินไหลเวียนในระบบมหาศาล นั่นจึงทำให้หนึ่งเรื่องสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ คือ ภาษี หรือ ภาษีขายของออนไลน์ วันนี้ ชี้ช่องรวย อยากจะมาอธิบายให้ผู้ประกอบการได้เข้าใจเกี่ยวกับการเสียภาษีการขายของออนไลน์ว่ามีอะไรบ้าง

ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีแบบไหน ?

ภาษีของการขายของออนไลน์นับเป็นภาษีเงินได้จากการค้าขาย ซึ่งจะมีการแบ่งการคำนวณเป็น 2 ประเภท คือ

  1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา : กรณีเป็นพ่อค้าแม่ค้าธรรมดา
  2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล : กรณีที่ร้านค้านั้นๆ มีการจดทะเบียนเป็นบริษัท

โดยการคิดอัตราภาษีนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกับการจ่ายภาษีตามปกติ คือ คิดตามอัตราขั้นบันไดตามกฏหมายกำหนด และมีค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาหักภาษีได้ดังนี้

  1. หักค่าใช้จ่ายตามอัตรา 60% ของเงินได้ สำหรับร้านที่ดำเนินการแบบซื้อมา ขายไป ไม่มีการผลิตภายในร้าน
  2. หักตามค่าใช้จ่ายจริง สำหรับบ้านที่มีการผลิตภายในร้าน
  3. หักแบบเหมา กรณีที่มีรายได้จากช่องทางออนไลน์เกิน 1,000,000 บาท โดยคิดภาษีเป็น 0.5% ของเงินได้

ขายของออนไลน์คำนวณภาษีอย่างไร ?

ในส่วนของ ร้านค้าออนไลน์ ภาษีหลักๆ จะแบ่งออกเป็น 2 แบบที่กล่าวไว้ข้างต้น คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ซซึ่งการขายของออนไลน์ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ ชี้ช่องรวย จึงขอนำเสนอการสูตรคำนวณภาษีแบบบุคคลธรรมดาให้ได้ทราบกันก่อน

วิธีที่ 1

(รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย

การหักค่าใช้จ่ายในวิธีแรกสามารถทำได้ 2 แบบ

  1. หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาๆ ได้ 60% ของรายได้
  2. หักตามจริง ถ้าใช้วิธีนี้อย่าลืม!! ทำบัญชีรายรับรายจ่าย และเก็บหลักฐานไว้

วิธีที่ 2

เงินได้ x 0.5%

โดยจะใช้วิธีที่ 2 นี้ เมื่อเรามีรายได้เกิน 1 ล้านบาทต่อปี แล้วนำไปเปรียบเทียบกับวิธีแรก เพื่อเสียภาษีตามวิธีที่คำนวณได้มากกว่า

พ่อค้า แม่ค้า ออนไลน์ต้องยื่นภาษีแบบไหน ?

พ่อค้า แม่ค้า ออนไลน์เป็นบุคคลธรรมดาไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลก็ต้องยื่นภาษี ถูกจัดอยู่ในเงินได้ประเภทที่ 8 คือเงินได้จากการขายของ ซึ่งจะต้องยื่นภาษี 2 รอบ

  • สิ้นปี ยื่นช่วงเดือน ม.ค. – มี.ค. (แบบ ภ.ง.ด. 90) : จะเป็นการยื่นสรุปทั้งปีที่ผ่านมา
  • กลางปี ยื่นช่วงเดือน ก.ค. – ก.ย. (แบบ ภ.ง.ด. 94) : เป็นการยื่นสรุปรายได้ในช่วงครึ่งปีแรก โดยสามารถใช้ค่าลดหย่อนได้ครึ่งหนึ่ง เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 จะเหลือ 30,000

หมายเหตุ : ในส่วนของ พ่อค้า แม่ค้า ออนไลน์ ที่มีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยเสียภาษีอยู่ที่ 7% ของรายได้ ที่สำคัญคือจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน หลังจากมียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาท

ข้อควรรู้ของภาษีออนไลน์

ทางสรรพากรจะรู้ได้อย่างไรว่ามีการขายของออนไลน์เกิดขึ้น ในปัจจุบันมีกฎหมายออกมารองรับทำให้ทางสถาบันการเงินต้องมีการส่งข้อมูลการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกกันว่า (e-Payment) ให้กับทางสรรพากรตรวจสอบ แต่ไม่ได้ตรวจสอบทุกบัญชี ลองมาดูเงื่อนไขกันว่าสรรพากรจะตรวจสอบอย่างไร

  • เมื่อมีการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชี 3,000 ครั้งต่อปีขึ้นไป ไม่ว่ายอดรวมทั้งหมดจะกี่บาทก็ตาม
  • ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกัน 400 ครั้งขึ้นไป และมียอดเงินรวมกันเกิน 2 ล้านบาท

ข้อมูลที่กรมสรรพากรจะได้

  • เลขประจำตัวประชาชน
  • ชื่อ สกุล
  • เลขบัญชีเงินฝาก
  • จำนวนครั้งของการฝากหรือโอน
  • ยอดรวมจากการฝากหรือโอน

ซึ่งสรรพากรจะไม่เพียงตรวจสอบผู้ที่เป็นร้านค้าเท่านั้น แต่รวมไปถึงผู้ที่มีการโอนเงินมากผิดปกติจนน่าสงสัยอีกด้วย แต่ไม่ต้องตกใจไป แม้ว่าคุณเพิ่งทำธุรกิจขายของออนไลน์หรือทำมานานแล้วก็สามารถเตรียมตัวได้ไม่ยาก