จากพื้นที่เกษตรที่ถูกพายุซัดพังยับเมื่อปี 2562 สู่การรวมพลังสร้างอาชีพใหม่ ชุมชนแม่อิง พะเยาหันมาทำผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติแบบชิโบริหรือการย้อมผ้าแบบญี่ปุ่น ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ค่อยๆ สร้างตัวจนหัตถกรรมกลายเป็นอาชีพหลัก
ชุมชนแม่อิง พิสูจน์พลังใจนักสู้ของชุมชน จากผู้ประสบภัย สู่วิสาหกิจชุมชนต้นแบบสัมมาชีพ ประจำปี 2568
วาตภัย “พายุวิภา” ในปี 2562 ทำให้นาข้าวกว่า 3 พันไร่ ที่ต.แม่อิง พะเยา ต้องพังพาบ เกษตรกรกว่า 300 ครัวเรือนเดือดร้อนหนัก
แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นนำสู่การเปลี่ยนอาชีพใหม่เพื่อสร้างรายได้ทดแทนภาคเกษตร โดยเริ่มต้นจัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผ้ามัดย้อมชิโบริสีธรรมชาติแม่อิง” ต.แม่อิง อ.ภูกามยาว จ.พะเยา ขึ้นในปีเดียวกัน
“น้ำท่วมแม่อิงตอนนั้น สภาพเหมือนหาดใหญ่ เรายืนบนถนนเหมือนยืนบนเขื่อน น้ำท่วมมิด บางคนก็ซึมเศร้า ยืนมองที่นา เพราะต้องรอน้ำลดถึง 6 เดือน ตอนนั้นชุมชนต่างหมดตัว เลยมาคุยกันว่า จะทำอาชีพอะไร ผมทำเรื่องผ้ามัดย้อมอยู่ จึงเสนออาชีพนี้
ทีแรก ชาวบ้านบอกว่า ทำไม่ได้ แต่พอลงมือทำ ก็ทำได้ เลยทำมาเรื่อยๆ พอน้ำลด ก็ทำนาบวกอาชีพนี้เสริม จนตอนนี้กลายเป็นรายได้หลักแล้ว

อย่างปีนี้ ขายข้าวได้กิโลละ 3 บาท แต่ไม่เดือดร้อน เพราะมีรายได้จากหัตถกรรมและรายได้อื่นๆ เสริม” “เอกรินทร์ ลัทธศักย์ศิริ” ผู้ก่อตั้งและรองประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผ้ามัดย้อมชิโบริสีธรรมชาติแม่อิง ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้ผ้ามัดย้อมชิโบริสีธรรมชาติแม่อิง เล่า
งานฝีมือที่เด่นด้วยอัตลักษณ์สองวัฒนธรรม (ไทยและญี่ปุ่น) ผสานนวัตกรรม-เทคนิคการผลิต และใช้การตลาดนำ ทำให้ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติแบบชิโบริได้รับการยอมรับจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งยังขยายผลไปสู่การสร้างรายได้ให้กับเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชนของผลิตภัณฑ์ในจ.พะเยา กว่า 20 กลุ่ม อาทิ กลุ่มทอผ้า กลุ่มปลูกพืชให้สี กลุ่มผู้เลี้ยงไหมอีรี่ เป็นต้น และยังเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ให้กับกลุ่มต่างๆ ราว 40 กลุ่ม
จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผ้ามัดย้อมชิโบริสีธรรมชาติแม่อิง เป็นหนึ่งในวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับรางวัล “วิสาหกิจชุมชนต้นแบบสัมมาชีพ” ประจำปี 2568 ประเภทแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร มอบโดยมูลนิธิสัมมาชีพ เพื่อยกระดับวิสาหกิจชุมชน และขยายผลเป็นต้นแบบให้วิสาหกิจชุมชนอื่นๆ นำหลักคิดไปปรับใช้ต่อไป

เอกรินทร์เล่าว่า รู้สึกภาคภูมิใจที่วิสาหกิจชุมชนฯ ได้รับรางวัล และขณะนี้ได้ยกฐานะเป็น “ศูนย์เรียนรู้ฯ” พร้อมจะร่วมงานกับมูลนิธิสัมมาชีพในการขับเคลื่อนสร้างอาชีพให้กับชุมชน เผยแพร่ความสำเร็จไปยังกลุ่มอื่นๆ ต่อไป
ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติแบบชิโบริ ส่วนสำคัญเกิดจากการใช้การตลาดนำ มองเห็นโอกาส และลงมือทำ โดยเอกรินทร์ตั้งเป้าหมายล่วงหน้าว่า จะทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ จึงเลือกใช้ชื่อว่า “ชิโบริ” ซึ่งเป็นสไตล์การมัดย้อมแบบญี่ปุ่นที่มีมานานราว 400 ปีและชาวโลกรู้จักกันดี ขณะที่ในประเทศไทย มีผ้ามัดย้อมซึ่งเป็นภูมิปัญญาล้านนาของคนไทยเช่นกัน หากแต่มีกระบวนการผลิตและลวดลายการมัดย้อมแตกต่างกันออกไป
“เราใช้ชื่อ ชิโบริ เพราะวางแผนแต่แรกแล้วว่า จะไม่ขายเฉพาะในไทย แต่จะทำผลิตภัณฑ์ขายไปทั่วโลก โดยที่ต.แม่อิง 30 ปีที่แล้ว มีกลุ่มทอผ้าและย้อมสีธรรมชาติแต่เริ่มสูญหาย
พอเกิดพายุวิภา ตอนคุยกันว่าจะฟื้นการทอผ้าหรือย้อมสีธรรมชาติ สมาชิกส่วนใหญ่ 55 ครอบครัวสรุปว่าต้องการทำเรื่องสีธรรมชาติ จากนั้นก็ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยพะเยา มีนักวิจัยเก่งๆ เข้ามาช่วยชุมชนเรื่องเทคนิคการสกัดสีจากธรรมชาติ และยึดแนวคิด ชาวบ้านสอนชาวบ้าน ให้ปราชญ์ชุมชนถ่ายทอดความรู้ เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน”
ดังนั้น “ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติแบบชิโบริ” จึงเป็นการฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยนำ Know How แบบญี่ปุ่นมาผสมผสาน ไม่ใช่งานล้านนาดั้งเดิม แต่จุดเด่นยังอยู่ที่การใช้สีจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกกำลังสนใจแฟชั่นรักษ์โลก มาร่วมกับเทคนิคการผลิต เป็นนวัตกรรม “ผ้ามัดย้อมสองวัฒนธรรรม”

การมัดย้อมผ้าแบบชิโบริจะผสานกับการใช้สีธรรมชาติโดยมีเทคนิคการนำ “น้ำพลาสมา” มาเพิ่มคุณภาพการย้อมสี เน้นใช้วัตถุดิบและวัสดุภายในท้องถิ่น พัฒนาลายผ้าที่เป็นอัตลักษณ์ ดีไซน์ร่วมสมัย เน้นความปราณีต ใช้งานได้จริง ผลิตภัณฑ์ยังปลอดสารเคมี 100%
เอกรินทร์ ระบุว่า “พลาสมา” เป็นเทคโนโลยีการดึงออกซิเจนในอากาศผ่านหัวกำเนิดพลาสมา สร้างประจุพลาสมาลงไปในน้ำ (ใช้น้ำเป็นสื่อ) นับเป็นงานวิจัยต่อยอดในชุมชน เพื่อใช้ในการเตรียมเส้นใย โดยนำเส้นใยไปแช่ในน้ำพลาสมา แทนการใช้สารเคมีในการต้ม ฟอก ย้อม พบว่าทำให้เส้นใยฟู สกัดสีเข้ม ใช้สีธรรมชาติน้อยลง
นอกจากนี้เทคนิคการย้อม จะไม่ทิ้งผ้าทั้งชิ้นลงไปต้มย้อมในภาชนะ แต่จะเปลี่ยนเป็นการทา และป้าย เพื่อประหยัดพลังงาน โดยพบว่า สามารถลดการใช้พลังงานได้ไม่น้อยกว่า 40% ลดมลภาวะ ลดการสิ้นเปลืองวัตถุดิบ
ด้านสีจากธรรมชาติจะใช้พืชให้สีจากท้องถิ่น อาทิ สีจากเปลือกต้นสารภี ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดพะเยา สีเหลืองจากดอกดาวเรือง สีส้มจากดอกคำแสด สีเทาดำจากเปลือกต้นยูคาลิปตัส ซึ่งมีการส่งเสริมการปลูก ขยายพันธุ์ และลดการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก

รองประธานวิสาหกิจชุมชนฯ ยังกล่าวถึง อัตลักษณ์ของลายผ้าว่า ชุมชนได้ประยุกต์ ผ้าลายน้ำไหล ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ
“จาก 8 วิธีมัดย้อม พับ พัน ผูก เนา รูด ทบ เย็บ ผสมผสาน ให้ชุมชนเลือกลายที่ชอบ เพื่อสื่อสารตรงกับตัวตนกลุ่มกลายเป็นลายน้ำไหล ซึ่งเป็นการต่อยอดจากลาย อราชิ ชิโบริ ของญี่ปุ่น โดย อราชิ (Arashi) ภาษาญี่ปุ่น แปลว่า พายุ
ขณะที่ชุมชนเกิดวาตภัยพายุวิภา สิ่งที่ชุมชนเห็น ไม่ได้เห็นพายุ แต่เห็นแสงระยิบระยับบนแม่น้ำอิง กับกว๊านพะเยาเป็นละลอกคลื่น จึงเรียกว่า ลายน้ำไหล โดยของญี่ปุ่นจะเป็นลายแนวทแยง แต่ของชุมชนจะเป็นลายแนวนอน
จากนั้นยังพัฒนาเป็นลายเปลือกไม้ (ลายแนวตั้ง) ซึ่งกว่าเปลือกไม้จะแตกจะใช้เวลายาวนาน สื่อถึงการมีอายุมั่นขวัญยืนของผู้สวมใส่ ผู้ใช้งาน รวมถึงผู้ผลิตชิ้นงาน โดยปัจจุบันอายุเฉลี่ยของสมาชิกวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้อยู่ที่ 55- 76 ปี และที่ผ่านมายังพัฒนาลาย “ล้านนา” (ลายตาราง) สื่อถึงอารยธรรมล้านนาในพื้นที่ลุ่มริมน้ำ โดยทั้งสามลายต่อยอดมาจากลาย อราชิ ชิโบริ” เอกรินทร์ ให้ข้อมูล
ปัจจุบันวิสาหกิจดำเนินการมัดย้อมผ้าสีธรรมชาติแบบชิโบริ ผสมผสานงานดีไซน์ แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ 5 หมวด ได้แก่ สิ่งทอและเครื่องแต่งกาย, กระเป๋า, เครื่องใช้ในบ้าน, ของใช้แฟชั่นและของที่ระลึก และผลิตภัณฑ์ Upcycling และ Zero Waste จำหน่ายภายใต้ แบรนด์ Mae Ing Shibori และ INGTARA ทำการตลาดทั้งในประเทศ และตลาดต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น สวีเดน อเมริกา
ส่งผลให้กลุ่มสร้างรายได้ในชุมชน ปีละกว่า 10 ล้านบาท สร้างงาน อาชีพ ให้คนในท้องถิ่น ทั้งสมาชิก (61 คน) และคนในชุมชนรวมไม่น้อยกว่า 80 คน โดยเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ ผู้บกพร่องทางร่างกาย สตรี เยาวชน เข้ามามีส่วนร่วม
“จากเดิมเคยขายผ้าได้ผืนละ 250 บาท เมื่อพัฒนาเป็นแบบชิโบริ สามารถขายผ้าราคาเฉลี่ยผืนละ 700 -3,000 บาท สูงสุดเคยประมูลขายผ้าได้ถึงผืนละ 18,000 บาท (ผ้าเพ้นท์สีธรรมชาติลายอุบลทิพย์- บัวชมพูที่ปลูกในกว้านพะเยา) บางช่วงสินค้าผลิตไม่ทันความต้องการ อาทิ ลูกค้าอยากได้ผ้าฝ้ายแกมไหมย้อมสีธรรมชาติลายล้านนา แบบนี้ก็ต้องรอ เพราะชุมชนทำสินค้าแฮนด์เมด ผลิตชิ้นงานออกมาชิ้นเดียวในโลก บางช่วงฝนตกพายุเข้า ก็ไม่สามารถไปหาสีจากต้นไม้มาสกัดย้อมได้ เป็นต้น” เอกรินทร์ เล่า

ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ได้ขึ้นทะเบียนสินค้าโอท็อป ต่อยอดไปสู่การแสดงงานและประกวดผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ โดยในปี 2567 วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผ้ามัดย้อมชิโบริสีธรรมชาติแม่อิงได้รับการคัดสรรจากกระทรวงพาณิชย์ (1 ใน 18 กลุ่ม คัดเลือกจาก 50 กลุ่มทั่วประเทศ) ให้เข้าร่วมโครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” และเป็นตัวแทนเพื่อนำผลิตภัณฑ์เข้าร่วมจัดแสดงและจำหน่ายในงาน Thai Festival Tokyo 2024 ณ สวนสาธารณะโยโยงิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้วางจำหน่ายในร้าน MUJI สาขา GINZA

ในปี 2567 ยังได้รับรางวัลเหรียญทอง จากการประกวดผลงานวิจัยระดับนานาชาติในงาน “2024 Kaohsiung International Invention and Design EXPO” (KIDE 2024) ณ เมืองเกาสง ประเทศไต้หวัน ภายใต้ความร่วมมือระหว่างหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และมหาวิทยาลัยพะเยา โดยการแข่งขันในครั้งนี้มีผลงานส่งเข้าประกวดกว่า 500 ผลงาน จาก 30 ประเทศทั่วโลก
อีกทั้งยังได้รับการคัดเลือกจากกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ให้เข้ารับรางวัลองค์กรชุมชนแกนหลักสำคัญในการพัฒนาหมู่บ้านดีเด่น ระดับจังหวัด ประจำปี 2566
เขายังกล่าวถึง การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment: SROI) พบว่า ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติแบบชิโบริ สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากถึง 5.6 เท่า ซึ่งสูงมากสำหรับงานหัตถกรรม
“ตามหลักวิชาการ ลงทุน 1 บาท ได้ผลตอบแทนกลับมา 5.60 บาท เท่ากับ 5.6 เท่า นับว่าสูงมากในเชิงวิชาการ เพราะเราเป็นงานคราฟท์ทำมือ ไม่ใช่งานอุตสาหกรรม ถือว่าเกินความคาดหมายของเรา ตอนนี้งานหัตถกรรมเป็นอาชีพหลักของชุมชน การปลูกข้าวเป็นอาชีพเสริมไปแล้ว”
ประการสำคัญ คือ แบบอย่างของการลุกขึ้นสู้ของชุมชน แม้ว่าจะเผชิญวิกฤติจนหมดตัว
“เราเริ่มต้นใหม่ได้ ตอนที่เริ่มทำ ก็นำเพลงความฝันอันสูงสุดมาให้คนทำร้องเพลงกันทุกวัน ช่วงแรกยังไม่มีคนเข้าใจ ก็ให้อ่านเนื้อเพลง และเปิดเพลงนี้ทุกวันเพื่อปลุกใจ เป็นกำลังใจ จนเขาเริ่มอิน ร้องไห้
ชีวิตเหมือนในเพลง ใช้ได้กับทุกคน ช่วงฟื้นฟูมันต้องใช้เวลา แต่เมื่อมีงานทำ มีอาชีพเสริม ก็ไปต่อได้
ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องหาดใหญ่ เราเจอมาก่อน”

น้ำท่วม พายุใหญ่ยังต้องพ่ายไป เมื่อชุมชนใจสู้
วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผ้ามัดย้อมชิโบริสีธรรมชาติแม่อิงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว