พลังของนวัตกรรมเกษตรมาตอบโจทย์อนาคตประเทศ ผ่านสินค้าที่ช่วยให้แม่มีน้ำนม–ผู้หญิงเตรียมตั้งครรภ์ได้อย่างมีคุณภาพ และยังสร้างรายได้ให้เกษตรกรเป็นร้อยครัวเรือน
ธุรกิจเล็กๆ ที่เริ่มจากปัญหาของ “แม่คนหนึ่งที่ไม่มีน้ำนมให้ลูก” วันนี้กลายเป็นต้นแบบเอสเอ็มอีไทย ที่กำลังพิสูจน์ว่า แบรนด์ที่แก้ปัญหาคน–สร้างคุณค่าชุมชน–ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก สามารถเติบโตได้อย่างงดงาม
“น้ำหัวปลี” และ “น้ำมะกรูด” สกัดเข้มข้น ที่ผลิตโดยบริษัท มิลค์ พลัส แอนด์ มอร์ จำกัด คือตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมจากวัตถุดิบด้านการเกษตร โดยมีผลการวิจัยผลิตภัณฑ์รองรับ
น้ำหัวปลี ช่วยแก้ปัญหาแม่หลังคลอดที่ไม่มีน้ำนม ส่วนน้ำมะกรูด มีสรรพคุณช่วยบำรุงหญิงก่อนตั้งครรภ์
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ปลายทางคือ สนับสนุนให้เด็กไทยมีสุขภาพที่ดี เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต มีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนประชากร แก้ปัญหาสังคมสูงวัย
ขณะเดียวกัน หัวปลีที่มักเป็นของเหลือใช้ทางการเกษตร กลับนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชาวสวนได้
จากคอนเซปต์แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ทำให้ธุรกิจที่ดำเนินมากว่า 9 ปี นับตั้งแต่ปี 2559 เติบโตต่อเนื่อง
การสนับสนุนการใช้วัตถุดิบในชุมชน พร้อมการมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนในด้านต่างๆ ทำให้มูลนิธิสัมมาชีพ มอบรางวัล เอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพ ในปี 2568 ให้กับบริษัทมิลค์ พลัส แอนด์ มอร์ จำกัด เพื่อเป็น “ต้นแบบ” การดำเนินธุรกิจที่เติบโต อย่างมีสัมมาชีพ

ดร.ศราณี วิสุทธิผล ผู้ก่อตั้ง บริษัท มิลค์ พลัส แอนด์ มอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับมูลนิธิสัมมาชีพ ว่า รู้สึกดีใจที่มูลนิธิสัมมาชีพมอบรางวัลนี้ให้กับบริษัทฯ ถือเป็นความสำเร็จก้าวใหญ่ของบริษัทที่ผลิตสินค้าในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)
ผู้ก่อตั้ง มิลค์ พลัส แอนด์ มอร์ เล่าถึงสาเหตุของการคิดค้นและผลิตน้ำหัวปลีสกัดเข้มข้นว่า เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา โดยเธอเป็นแม่ตั้งครรภ์ที่คลอดก่อนกำหนด และไม่มีน้ำนมให้ลูก จึงคิดสูตรน้ำหัวปลีรับประทานเอง ร่วมกับการปฏิบัติตัวที่ดี เช่น กินน้ำ นอนหลับให้เพียงพอ ไม่เครียด ผลลัพธ์คือ มีน้ำนมเพิ่มขึ้น กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนาเป็นสินค้าเพื่อจำหน่ายให้กับแม่หลังคลอด โดยมีงานวิจัยรองรับเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
“คนไทยมักนำหัวปลีมาทำเป็นเมนูต่างๆ ให้คุณแม่หลังคลอดกิน เพื่อเรียกน้ำนม แต่เราเป็นคนกินยาก เลยคิดว่าจะดีกว่าไหมหากกินเป็นน้ำหัวปลี เลยคิดสูตรทำกินเอง พอกินแล้วมีน้ำนมมากขึ้น จึงไปแจกจ่ายคนรอบข้าง จนในที่สุดได้ทำงานวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ทำให้บริษัทเราเป็นผู้ผลิตน้ำหัวปลีเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่มีงานวิจัยผลิตภัณฑ์รองรับ” ดร.ศราณี เล่า
เธอยังบอกด้วยว่า งานวิจัยดังกล่าวได้เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างแม่หลังคลอดจำนวน 100 ราย เป็นเวลา 3 เดือน โดยให้กินน้ำหัวปลีสกัดเข้มข้นของบริษัทฯ โดยไม่บอกชื่อแบรนด์ และให้กลุ่มตัวอย่างปั๊มน้ำนมเวลาเดียวกัน บริโภคอาหารและน้ำ ช่วงเวลาเดียวกัน พบว่า กลุ่มตัวอย่างแม่หลังคลอดมีน้ำนม เพิ่มขึ้น 29%
เมื่อผลวิจัยเป็นที่น่าพอใจ บริษัทฯจึงเริ่มผลิตน้ำหัวปลีสกัดเข้มข้น 3 สูตร ได้แก่ น้ำหัวปลีสูตรดั้งเดิม สูตรมะขาม สูตรขิง ปัจจุบันขยายอีก 4 สูตร ได้แก่ สูตรเสาวรส สูตรพุทราจีน สูตรอัญชัญมะนาว และสูตรลูกหม่อน (มัลเบอร์รี่) ที่ล้วนมีสรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100% หวานธรรมชาติและหวานจากหญ้าหวาน ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่วัตถุกันเสีย เก็บได้ 1 ปีโดยไม่ต้องแช่เย็น ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น
ขณะที่น้ำมะกรูดสกัดเข้มข้น เป็นอีกสินค้าที่มีงานวิจัยรองรับ โดยร่วมกับการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยรังสิต ทำวิจัยเป็นรายเดียวในไทย สำหรับกินเพื่อเตรียมการตั้งครรภ์ โดยวิจัยพบว่า น้ำมะกรูดทำให้ประจำเดือนมาปกติ ไข่ตกตามรอบ ลดอาการปวดท้องประจำเดือน ปัจจุบันยังมีสินค้าอื่นๆ จำหน่าย เช่น วิตามินเด็ก เพื่อดูแลแม่ก่อนตั้งครรภ์ หลังตั้งครรภ์ และดูแลเด็กเล็ก
ดร.ศราณี ยังกล่าวถึงปรัชญาธุรกิจของบริษัทฯ ว่า อยากให้แม่คนไทยมีน้ำนมให้ลูกกิน และอยากให้ผู้หญิงไทย ที่ต้องการมีลูกสมหวัง และอยากให้เด็กเติบโตมามีสุขภาพที่ดี จึงผลิตสินค้าเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้คนไทยมีสังคมที่แข็งแรง ลดผลกระทบจากสังคมสูงวัยที่การเกิดน้อยลง “เป้าหมายธุรกิจเราชัดเจน ต้องการให้แม่คนไทย มีน้ำนม เพราะตามข้อมูลพบว่าหญิงไทยให้นมลูกได้สำเร็จใน 3 เดือน เพียง 12% เท่านั้น ขณะที่องค์การอนามัยโลก ระบุว่าแม่ควรให้นมลูกนานถึง 6 เดือน และกินนมต่อไปอีก 2 ปีร่วมกับอาหาร แต่แม่คนไทยกลับไม่มีน้ำนม ส่วนหนึ่งเกิดจากไม่รู้วิธีบำรุง”
ดร.ศราณีระบุว่า ปัจจุบันสินค้าของบริษัทฯจำหน่ายในประเทศผ่านช่องทางหน้าร้าน อาทิ ร้านแม่และเด็ก ห้างโมเดิร์นเทรด โรงพยาบาล ตลาดออนไลน์ และส่งออกไปในประเทศเมียนมาร์ ลาว สิงคโปร์ กัมพูชา เวียดนาม จีน อินเดีย มาเลเซีย โดยมียอดขายรวมราว 40 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับชุมชน ด้วยการรับซื้อวัตถุดิบ 100 % จากเกษตรกรมากกว่า 100 ครัวเรือนในจังหวัดสุโขทัย และนครปฐม นอกจากสร้างรายได้ให้เกษตรกร สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าแก่หัวปลีแล้ว ยังมีการพัฒนาต่อยอดร่วมกับเกษตรกรด้านการวางแผนการผลิต การใช้เทคโนโลยี และการทำเกษตรอินทรีย์
บริษัทยังแบ่งปันรายได้ 2% จากยอดขายเพื่อบริจาคให้กับโรงพยาบาลเพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ พัฒนาโรงพยาบาลในรูปแบบอื่นๆ และให้ทุนการศึกษากับโรงเรียนต่างๆ เป็นต้น
“ธุรกิจเราแบ่งปันคืนสังคม มอบเงินให้กับโรงพยาบาล มอบทุนการศึกษากับลูกชาวสวนกล้วย ให้กับโรงเรียนที่อยู่ใกล้บริษัทฯ ทำให้ชุมชนเติบโตแข็งแรง และสร้างความยั่งยืนให้กับชาวสวนกล้วย
เพราะปกติการปลูกกล้วย จะเก็บผลผลิตเป็นกล้วย และใบกล้วย หัวปลีส่วนใหญ่ต้องทิ้ง แต่เรานำหัวปลีมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชาวสวน
รวมถึงอบรมชาวสวนให้ปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ ไม่เพียงกล้วย ยังมีพืชอื่นๆ ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้า เพื่อเพิ่มพูนความรู้เทคโนโลยีใหม่ๆในการผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพ เป็นต้น” ผู้ก่อตั้ง บริษัทมิลค์ พลัส แอนด์ มอร์ จำกัด เอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพ ปี 2568 กล่าว
เส้นทางกว่า 9 ปีของ “มิลค์ พลัส แอนด์ มอร์” ชี้ให้เห็นว่า นวัตกรรมที่เกิดจากหัวใจของคนเป็นแม่หนึ่งคน สามารถขยายเป็นพลังยิ่งใหญ่เพื่อประเทศได้
ช่วยเด็กไทยเติบโตแข็งแรง ช่วยผู้หญิงสมหวังกับการมีลูก ช่วยชาวสวนมีรายได้
นี่คือบทพิสูจน์ว่า เมื่อธุรกิจสร้างคุณค่าให้คน–ให้ชุมชน ประเทศก็เติบโตไปด้วยกัน