รูปแบบการดำเนินกิจการนั้นมี 2 ประเภทให้เลือกคือ ในรูปแบบบุคคลธรรมดา และรูปแบบนิติบุคคล (ส่วนประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลเลิกคิดไปได้เลยครับ เสียภาษีซ้ำซ้อนและมากกว่ารูปแบบอื่นตามที่ได้อธิบายไปในบทความฉบับที่แล้ว)
ธุรกิจของบางคนอาจจะประหยัดภาษีมากกว่าเมื่อทำในรูปแบบบุคคลธรรมดา ในขณะที่ของบางคนอาจจะดีกว่าเมื่อทำในรูปแบบนิติบุคคล ซึ่งตัวแปรสำคัญที่สุดก็คือประมาณการเงินได้และลำดับขั้นบันไดของอัตราภาษีที่ต้องเสียนั่นเองครับ
ทบทวนอัตราภาษีบุคคลธรรมดาที่เพิ่งอัพเดทกันในปี 2560 นี้กันสักนิด
เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย (บาท) |
อัตราภาษี |
ภาษีสะสมในอัตราต่างๆ (บาท) |
≤ 150,000 |
ยกเว้น |
0 |
> 150,000 - 300,000 |
5% |
7,500 |
> 300,000 - 500,000 |
10% |
27,500 |
> 500,000 - 750,000 |
15% |
65,000 |
> 750,000 - 1,000,000 |
20% |
115,000 |
> 1,000,000 - 2,000,000 |
25% |
365,000 |
> 2,000,000 - 5,000,000 |
30% |
1,265,000 |
> 5,000,000 |
35% |
มากกว่า 1,265,000 |
ที่ผมเขียนว่าเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายนั้นเป็นเพราะเมื่อเราทำธุรกิจบางประเภทในรูปแบบของบุคคลธรรมดาก็สามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักได้ โดยเลือกแบบหักเหมา (โดยไม่ต้องแสดงหลักฐาน) หรือแบบหักตามจริง (โดยต้องแสดงหลักฐาน) ก่อนที่จะนำรายได้ที่เหลือมาคำนวณอัตราภาษีในแต่ละขั้นนั่นเองครับ (ดูอัตราการหักค่าใช้จ่ายของเงินได้แต่ละประเภทได้จาก www.itax.in.th/pedia/เงินได้)
ในขณะที่ภาษีนิติบุคคล กรณีที่ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท หรือที่เรียกกันว่า “นิติบุคคลแบบ SME” มีอัตราภาษีดังนี้
กำไร (บาท) |
อัตราภาษี |
ภาษีสะสมในอัตราต่างๆ (บาท) |
≤ 300,000 |
ยกเว้น |
0 |
> 300,000 - 3,000,000 |
15% |
405,000 |
> 3,000,000 |
20% |
>405,000 |
เมื่อลองคำนวณจะเห็นได้ว่าจุดตัดของภาษีสะสมต่อเงินได้จะอยู่ที่ 800,000 บาทต่อปีพอดี (หรือ 66,666.67 บาทต่อเดือน) จะเสียภาษี 75,000 บาทเท่ากัน ไม่ว่าจะประกอบกิจการรูปแบบใดคือ
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = (800,000-750,000)x0.20 + 65,000 = 75,000 บาท
ภาษีเงินได้นิติบุคคล = (800,000-300,000)x0.15 = 75,000 บาท
ซึ่งเงินได้ที่มากกว่าจุดนี้ไป ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาจะเสียภาษี 20%-35% ในขณะที่นิติบุคคลจะเสียภาษี 15%-20%
ดังนั้นถ้ากิจการของเรามีเงินได้น้อยกว่า 800,000 บาทต่อปี การทำธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดาจะยังคงเสียภาษีน้อยกว่า แต่หากมากกว่านี้เมื่อไร การจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจะดีกว่าครับ ทั้งนี้อย่าลืมบวกต้นทุนในการทำธุรกิจรูปแบบนิติบุคคล เช่น ต้นทุนในการทำบัญชี ค่าสอบบัญชี ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและธุรกรรมต่างๆ ของนิติบุคคล (เช่น การจดทะเบียนบริษัท การประชุมผู้ถือหุ้น) เข้าไปด้วยนะครับ
ดังนั้นถ้ารายได้หลังหักค่าใช้จ่ายหรือกำไรอยู่ที่ 800,000 บาท (
บวกบวกนิดๆ)
การทำกิจการในรูปแบบของบุคคลธรรมดาก็ยังถือว่าประหยัดได้มากกว่าครับ
ผู้เขียน
ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ หรือ ดร.เรือบิน
ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง iTAX แอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์ที่ให้บริการคำนวณและเตรียมแบบภาษีอันดับ 1 ของไทย