กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผยความคืบหน้ากองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ในวงเงิน 20,000 ล้านบาท จากนโยบายของรัฐบาล โดยความคืบหน้าล่าสุดได้ร่วมกับจังหวัดจัดการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ ในระดับจังหวัด เพื่อพิจารณาคัดเลือกยุทธศาสตร์และประเภทธุรกิจเป้าหมายของจังหวัดที่จะให้การสนับสนุนสินเชื่อพร้อมประกาศให้ SME ในพื้นที่รับทราบและยื่นคำขอกู้เงินกองทุน โดยเบื้องต้นได้แบ่งการจัดสรรกองทุนให้กับจังหวัดต่างๆ โดยคำนวณตามหลักการกระจายการพัฒนาให้ทั่วถึงและสัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่เป็นกลุ่ม 10 S-Curve และกลุ่มที่จะยกระดับและพัฒนาไปสู่ 10 S-Curve รวมทั้ง ธุรกิจที่มีความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัด โดยจะเริ่มนำร่องในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก เชียงใหม่ สงขลา และชลบุรี ภายในวันที่ 20 เมษายนนี้ และคาดว่าในกลางเดือนพฤษภาคมจะเริ่มรับคำขอและอนุมัติกองทุนให้ผู้ประกอบการได้นำไปพัฒนากิจการของตนได้
ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินการกองทุน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกรอบวงเงินและเป้าหมายการให้ความช่วยเหลือส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอีนั้น เบื้องต้นได้แบ่งไว้ทั้งหมด 3 ส่วน โดยส่วนแรกได้จัดสรรให้ได้รับในจำนวนที่เท่ากันทุกจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการกระจายการพัฒนาให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ คือ จังหวัดละ 100 ล้านบาท ส่วนที่สองคือการจัดสรรตามสัดส่วนของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ซึ่งได้จำนวนและวงเงินที่จัดสรรแตกต่างกันไปตาม 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 GPP ไม่เกิน 100,000 ล้านบาท ได้รับจัดสรร 62 ราย วงเงิน 186 ล้านบาท (54 จังหวัด) กลุ่มที่ 2 GPP ตั้งแต่ 100,001 – 500,000 ล้านบาท ได้รับจัดสรร 68 ราย วงเงิน 204 ล้านบาท (19 จังหวัด) กลุ่มที่ 3 GPP ตั้งแต่ 500,001 ล้านบาท ขึ้นไปได้รับจัดสรร 75 ราย วงเงิน 225 ล้านบาท (3 จังหวัด) กรุงเทพฯ GPP 4,437,405 ล้านบาท ได้รับจัดสรร 85 ราย วงเงิน 255 ล้านบาท
ส่วนสุดท้ายคือ เงินสำรองในส่วนกลางที่จะทำการจัดสรรเพื่อการร่วมลงทุน และสำหรับกิจการที่มีความสำคัญที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ และกลุ่มธุรกิจหลักที่เป็นกลุ่ม 10 S-Curve หรือที่เชื่อมโยงและจะพัฒนาไปสู่กลุ่ม 10 S-Curve หรือธุรกิจที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดที่บางพื้นที่อาจมีความต้องการเพิ่มเติม ซึ่งจะจัดสรรให้ในโอกาสต่อไปอีกกว่า 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ธุรกิจที่ไม่เข้าข่ายในการให้การสนับสนุน ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจผิดกฎหมาย ขัดต่อศีลธรรมอันดีของสังคม สำหรับหลักเกณฑ์การคัดเลือกเอสเอ็มอีเข้าโครงการ ว่าอำนาจการพิจารณาทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับคณะอนุกรรมการบริหารกองทุน SME ตามแนวประชารัฐประจำจังหวัดต่างๆ เป็นหลัก ซึ่งรวมทั้งกรุงเทพฯ โดยการพิจารณา SME ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นที่เข้าข่ายได้รับการสนับสนุน ซึ่งกำหนดไว้ 10 ข้อ จะดำเนินการโดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME Development Bank) แล้วทำการคัดเลือกพร้อมจัดเรียงตามลำดับความสำคัญก่อนหลังตามผลกระทบต่อยุทธศาสตร์ของจังหวัด เพื่อเสนอเข้าพิจารณาในคณะอนุกรรมการบริหารประจำจังหวัด
จากนั้นเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ ก่อนส่งต่อไปวิเคราะห์ทางการเงิน ซึ่งวงเงินสินเชื่อต่อรายนั้นอยู่ที่สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยกำหนดให้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย มีสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของวงเงินรวมของจังหวัดที่ได้รับจัดสรร และวงเงินที่เกิน 3 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท ร้อยละ 25 ของวงเงินรวม รวมถึงต้องเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในลำดับสูงของจังหวัด ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 1 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการบริหารกำหนด อย่างไรก็ตาม กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 20,000 ล้านบาทนี้ ไม่ได้เป็นเพียงกองทุนเพื่อการปล่อยสินเชื่อให้ SME นำไปปรับปรุงและพัฒนากิจการเท่านั้น แต่ยังจะได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในท้องถิ่นต่างๆ เช่น สภาอุตสาหกรรมฯ สภาหอการค้าฯ สมาพันธ์เอสเอ็มอี สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เข้ามาช่วยส่งเสริมและพัฒนาทั้งในด้านการบริหารจัดการองค์กร ด้านบัญชีและการเงิน ด้านการตลาด ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล ด้านการเพิ่มผลิตภาพ ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ด้านมาตรฐาน หรือด้านอื่น ๆ ตามสภาพปัญหาที่ SME กำลังประสบอยู่
โดยพร้อมกันนี้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ขอให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และหน่วยงานเครือข่ายของศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SME หรือ ศูนย์ Rescue เดิม ได้เร่งประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงแนวนโยบายกองทุนและยุทธศาสตร์ต่างๆ จากภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ให้ SME มีความเข้าใจในกฎเกณฑ์และแนวทางต่างๆ มากขึ้น ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวได้เริ่มนำร่องและหารือในพื้นที่ เริ่มจากวันที่ 20 เมษายนนี้เป็นต้นไปแล้วที่จังหวัดพิษณุโลกเป็นแห่งแรก ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความสำคัญค่อนข้างมาก และขณะนี้จังหวัดต่าง ๆ ได้เริ่มทยอยกำหนดวัน โดยคาดว่าภายในกลางเดือนพฤษภาคมนี้ จะได้เริ่มกระบวนการรับคำขอเพื่ออนุมัติวงเงินในทุกจังหวัด และอนุมัติกองทุนให้ผู้ประกอบการได้นำไปพัฒนากิจการของตนได้ทันที
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค ศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SME ทั่วประเทศ หรือที่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวี โทรศัพท์ 0 2202 4508-9