“Deliveree (เดลิเวอรี่) ” บริการขนส่งของแบบออนดีมานด์ จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองและแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดส่งสินค้าของเหล่าร้านค้าออนไลน์ รวมไปถึงไปถึงภาคธุรกิจอื่นๆ และบุคคลทั่วไปให้ได้ใช้ชีวิตและทำธุรกิจได้สะดวกขึ้น โดยเป็นสตาร์ทอัพที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Inspire Ventures บริษัทลงทุนกับธุรกิจสตาร์ทอัพในอาเซียน ซึ่งเดลิเวอรี่เป็นกลุ่มแรกที่ถูกเลือกมาพัฒนาต่อ เพราะเห็นว่าโมเดลธุรกิจนี้สามารถเติบโตต่อไปได้ในอนาคต จนได้เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ.2558
ชนิสา เรืองคีรีอัญญะ ผู้จัดการประจำประเทศไทย อธิบายว่า Deliveree เป็นเสมือนศูนย์รวมและตัวกลางในการค้นหาและติดต่อกับผู้ขับรถขนส่งโดยตรงโดยคิดค่าใช้จ่ายตามระยะทาง โดยปัจจุบันให้บริการครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล บริการของ Deliveree จะเป็นการรับส่งของไปยังจุดต่างๆ การขนย้ายของที่สามารถเลือกคนช่วยยกได้รวมไปถึงงานด้านเอกสาร การส่งไปรษณีย์ แม้กระทั่งการสั่งซื้ออาหารจากร้านโปรด
ขั้นการใช้งานมี 4 ขั้นตอนหลัก คือ
1.การจองรถ ผ่านแอปฯ ที่ดาวน์โหลดได้ผ่านระบบ Android หรือ iOS หรือใช้งานผ่านทางเว็บไซต์
2.เลือกสถานที่จุดรับ-ส่งของ เวลา และประเภทรถ รวมถึงบริการเสริม
3.ค้นหาคนขับรถที่จะตอบรับงานผ่านแอปฯ พร้อมโทรยืนยันการจอง และจะมารับของตามเวลา หรือภายใน 45 นาที กรณีเป็นการจองแบบเร่งด่วน
4.ติดตามการส่งผ่านแอปฯ 5.งานเสร็จสิ้นเมื่อผู้รับปลายทางลงชื่อยืนยัน ก็จะได้การแจ้งเตือนผ่านแอปฯ 
ส่วนรถที่ให้บริการมีรถที่ใช้ 4 ประเภท ได้แก่
1.จักรยานยนต์ ค่าบริการเริ่มต้นที่ 50 บาท สำหรับระยะ 3 กิโลเมตรแรก ถัดไปช่วง 3-14 กม.เพิ่มกม.ละ 10 บาท ไกลกว่านั้นเหลือ กม.ละ 8 บาท เพิ่มจุดส่งของ 25 บาทต่อจุด ดำเนินเอกสาร 40 บาท 2 รถยนต์อีโคคาร์ ค่าบริการเริ่มต้นที่ 180 บาท สำหรับระยะ 3 กิโลเมตรแรก ถัดไปช่วง 3-14 กม. เพิ่มกม.ละ 13 บาท ไกลกว่านั้นเหลือ กม.ละ 11 บาท เพิ่มจุดส่งของ 50 บาทต่อจุด คนขับช่วยยกเพิ่ม 100 บาท 3. รถปิกอัพ ค่าบริการเริ่มต้นที่ 350 บาท สำหรับระยะ 3 กิโลเมตรแรก ถัดไปช่วง 3-14 กม. เพิ่มกม.ละ 16 บาท ไกลกว่านั้นเหลือ กม.ละ 14 บาท เพิ่มจุดส่งของ 50 บาทต่อจุด คนขับช่วยยก 100 บาท คนช่วยยกเพิ่มเติม 300 บาทต่อคน 4.รถกระบะตู้ทึบ ค่าบริการเริ่มต้นที่ 450 บาท สำหรับระยะ 3 กิโลเมตรแรก ถัดไปช่วง 3-14 กม.เพิ่มกม.ละ 21 บาท ไกลกว่านั้นเหลือ กม.ละ 15 บาท เพิ่มจุดส่งของ 50 บาทต่อจุด คนขับช่วยยก 150 บาท คนช่วยยกเพิ่มเติม 300 บาทต่อคน “โดยรวมแล้วค่าบริการทั้งหมด มีราคาต่ำกว่าการใช้รถรับจ้างขนส่งแบบเดิมกว่า 30% อีกทั้งพนักงานขับรถทุกคนต้องผ่านการอบรมมาก่อน พร้อมทั้งการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ทำให้ผู้ส่งและผู้รับมั่นใจได้ว่า สินค้าจะไม่ได้รับความเสียหายแน่นอน” ชนิสา กล่าวเสริม 
ปัจจุบัน Deliveree มียอดดาวน์โหลดแอปฯ กว่า 200,000ครั้ง มีเครือข่ายผู้ขับกว่า 9,000 คน โดยฐานลูกค้าครอบคลุมทั้งภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไปผ่านการใช้งานที่หลากหลาย เช่น กระจายสินค้าจากคลังสินค้าเข้าสู่ร้านขายปลีก หรือธุรกิจออนไลน์ที่ใช้เพื่อส่งของให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ของใช้ในบ้าน อุปกรณ์กีฬา สิ่งพิมพ์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอื่นๆนอกจากนี้ได้ขยายบริการไปยังเมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และเมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดที่ 3 ภายใต้แบรนด์ Transportify เมื่อเดือนกรกฏาคม 2559 ที่ผ่านมา ในอนาคต ชนิสา วางแผนปล่อยฟีเจอร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น การให้เช่ารถขนส่งแบบเหมาเป็นรายวัน ซึ่งจะพร้อมให้บริการหลังสงกรานต์นี้ รวมถึงมีแผนขยายบริการไปยังเมืองใหญ่อื่นๆ ในภูมิภาคพร้อมกับการทำตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักกับกลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
“อยากให้แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีของเรา เปลี่ยนแนวคิดวิธีการที่ธุรกิจหรือคนทั่วไปขนย้ายสิ่งของในเมืองใหญ่ การขนส่งควรจะเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากและเข้าถึงได้ง่ายในราคาประหยัด ไม่ว่าคุณจะเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ หรือผู้ประกอบการ SME ที่อยากนำบริการ Delivery มาเพิ่มโอกาสในการขายให้ธุรกิจของตัวเอง” ชนิสา กล่าวทิ้งท้าย
Food Truck ที่ดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยมในขณะนี้ จนธุรกิจแฟรนไชส์อาหารและเครื่องดื่มหลากหลายค่ายให้ความสนใจ ปรับเปลี่ยนให้มาอยู่ในรูปแบบร้านมากขึ้น แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่เข้าใจรูปแบบของธุรกิจมากเท่าที่ควรวันนี้ ชี้ช่องรวย จึงอยากจะมาบอก 6 เรื่องสำคัญต้อ
ใครที่กำลังคิดจะเปิดร้านขายสินค้าเบ็ดเตล็ด สินค้าราคาเดียว ห้ามพลาดสิ่งนี้ วันนี้ ชี้ช่องรวย มีเทคนิคดีๆ มานำเสนอกันอีกแล้ว กับ 3 รูปแบบ 9 วิธี สำหรับขายสินค้าเบ็ดเตล็ด สินค้าราคาเดียว ที่จะทำให้ร้านของคุณนั้นประสบความสำเร็จ มียอดขายทะลุเป้าได้ไม่ยากหากทำ
การทำธุรกิจอะไรก็ตามแต่ การมีทำเลที่ดี ก็จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น ดั่งคำที่ว่า “ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” แต่รู้หรือไม่ว่าต่อให้ทำเลดีแค่ไหน หากไม่เหมาะกับธุรกิจนั้นๆ มันก็ไม่มีประโยชน์ วันนี้ ชี้ช่องรวยจึงอยากจะมาแนะนำ 6 ประเภทภาพรวมว่าควรจะเลือกทำเลแบบไหนถึงจะดีที่สุด 1.โฮมออฟฟิศ ปัจจุบันโฮมออฟฟิศเป็นที่นิยมมากของผู้ประกอบการรายใหม่ โดยการดัดแปลงห้องภายในบ้านให้กลายเป็นที่ทำงาน แน่นอนว่าการใช้ที่พักอาศัยเป็นที่ทำงานจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่ข้อเสียที่ต้องทำใจคือ อาจพักผ่อนได้ไม่เต็มที่เพราะหันไปทางไหนก็มีแต่กองงาน และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะทำให้ขาดแรงกระตุ้น แรงบันดาลใจต่างๆ ดังนั้นคุณควรช่างน้ำหนักให้ดีว่าจะเลือกความเป็นส่วนตัวหรือเลือกงาน หากเลือกความเป็นส่วนตัวก็ควรเลือกทำที่สงบ ถ้าต้องการมีแรงกระตุ้นในการทำงาน ควรเลือกทำเลที่มีคนพลุกพล่าน นอกจากนี้คุณควรคำนึงถึงหลักกฎหมายด้วยว่าบ้านของคุณสามารถดัดแปลงเป็นที่ทำงานได้หรือไม่ 2. แฟรนไชส์ ร้านค้าปลีก หรือการบริการต่างๆ รูปแบบนี้เราอาจจะพบเห็นกันโดยทั่วไป ซึ่งหลักการสำหรับร้านขายปลีก และร้านบริกานั้นจะต้องเป็นจุดสังเกต ดึงดูดลูกค้า เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ตลาด ย่านชุมชน หรือเลือกทำเลที่อยู่ใกล้กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากเปิดร้านเครื่องเขียนก็ควรตั้งอยู่ใกล้โรงเรียน ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นควรตั้งอยู่ในศูนย์การค้า ร้านอาหารตามสั่งอยู่ในแหล่งที่มีหอพัก เป็นต้น ทั้งนี้ข้อควรระวังอีกอย่างคือ อย่าตั้งร้านใกล้ร้านดังที่ขายสินค้า และบริการแบบเดียวกับคุณเด็ดขาด เพราะมีความเสี่ยงที่ลูกค้าจะไม่ใช้บริการร้านเปิดใหม่ของคุณ 3.ธุรกิจเคลื่อนที่ หรือ Food truck หากคุณจะทำธุรกิจเคลื่อนที่ คุณจำเป็นต้องมีพาหนะที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณเสียก่อน ซึ่งพาหนะนี่แหละที่จะพาสินค้าและบริการของคุณไปสู่ทำเลที่ดี […]
