พงศ์วิวัฒน์ เล่าว่า ก่อนหน้านี้ครอบครัวทำธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ Distar มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2525 โดยจะนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศมาประกอบเองแล้วส่งขายในเมืองไทย แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจยุคฟองสบู่แตกกิจการเริ่มย่ำแย่ ทำให้ครอบครัวต้องมองหาธุรกิจใหม่ โดยเริ่มจากการขายและติดตั้งรถ NGV เนื่องจากช่วงนั้นน้ำมันมีราคาค่อนข้างสูง เชื้อเพลิงชนิดนี้ก็เป็นทางเลือกใหม่และกำลังได้รับความนิยม ซึ่งทำทั้งในส่วนรถยนต์ส่วนบุคคล รถตู้ รถกระบะ รถเมล์ เป็นต้นนอกจากนี้ ยังทำธุรกิจเสริมอื่นๆ พร้อมกันทั้งเครื่องสำอาง เสื้อผ้าและอาหาร เพื่อหาว่ากิจการใดจะสามารถเติบโตต่อไปได้ โดยในปีพ.ศ. 2552 เป็นปีแรกที่พงศ์วิวัฒน์ เริ่มทำธุรกิจเครื่องสำอางด้วยการนำเข้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อจัดจำหน่ายในช่องทางต่างๆ ภายใต้แบรนด์ “Karmart” สินค้าที่นำเข้าจะไม่ใช่ยี่ห้อแมสอย่าง Etude หรือ Skinfood ที่มีผู้นำเข้ามามากแล้ว แต่พงศ์วิวัฒน์มองหาแบรนด์ทางเลือกใหม่แล้วนำมาทดลองใช้เอง หากแบรนด์ไหนดีค่อยไปติดต่อเพื่อนำเข้ามาจำหน่ายเอง ส่วนใหญ่มาจากประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และจีน ส่งขายให้ทั้งร้านค้าปลีกค้าและค้าส่ง
ด้วยความที่ธุรกิจ NGV เป็นอุตสาหกรรมหนักที่มีองค์ประกอบหลายด้านที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อมและปัจจัยอื่นๆ ที่ควบคุมยาก ทำให้ธุรกิจนี้ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ ในทางกลับกันธุรกิจเสริมอย่างเครื่องสำอาง กลับไปได้ดีเพราะเป็นสินค้าที่ขายได้ง่าย เข้าถึงตลาดแมส ครอบครัวจึงค่อยๆ หันมาทำด้านนี้เต็มตัว จนเมื่อปี 2554 ได้เปลี่ยนชื่อจาก บริษัท ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็น บริษัทคาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ โมเดลธุรกิจช่วงแรกของ Karmart คือการนำเข้าเครื่องสำอางมัลติแบรนด์จากประเทศในแถบเอเชียอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และจีน มาเปิดตลาดเมืองไทย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค แผนการตลาดในช่วงแรกก่อนที่แบรนด์จะติดตลาดก็อาศัยการโพสต์โปรโมทสินค้าผ่านทางเฟชบุ๊ค พร้อมกับให้เหล่าตัวแทนขายช่วยในการแชร์โพสต์ไปอีกทอด อีกส่วนก็มีจากการรีวิวของลูกค้าและบล็อกเกอร์ความงาม ทำให้สินค้าค่อยๆ เป็นที่รู้จัก เมื่อธุรกิจไปได้ดีมีงบประมาณการตลาดมากขึ้น จึงเริ่มมีการใช้พรีเซ็นเตอร์ กับ Influencer เพิ่มเข้ามา
ก่อนที่จะหันมาสร้างผลิตภัณฑ์ของตนเองเพื่อต่อยอดความสำเร็จทางธุรกิจภายใต้แบรนด์ “Cathy Doll” ควบคู่กับการนำเข้า โดยใช้วิธีจ้างผลิตจากโรงงานที่เกาหลีใต้อาศัยความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้ได้สินค้าที่มีต้นทุนถูก แต่ก็ยังคงคุณภาพ มาตรฐานในระดับใกล้เคียงกับแบรนด์ชั้นนำของเกาหลี แต่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับผิวของคนไทย โดยเจาะตลาดกลุ่ม B ที่ต้องการสินค้าราคาไม่แพง แต่คุณภาพเทียบเท่าเกรด A ด้วยราคาที่จับต้องได้ทำให้แบรนด์นี้ติดตลาดในเวลาอันรวดเร็วและจากความสำเร็จนี้ถึงถูกต่อยอดออกมาเป็นแบรนด์ “Baby Bright” ซึ่งเน้นเจาะตลาด C เป็นหลัก ทั้งวัยรุ่น นักเรียน วัยเริ่มทำงาน ที่จะสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น ปัจจุบัน Karmar tมีสินค้ามากกว่า 3,000 รายการ จากกว่า 30 แบรนด์หลากหลายประเภท อาทิ ครีมบำรุงผิวหน้า ครีมอาบน้ำ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฯลฯ โดยจัดจำหน่ายผ่าน 5 ช่องทางหลัก คือ 1.ร้านค้าปลีก-ส่ง รวมไปถึงตัวแทนจำหน่ายที่นำไปขายผ่านทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค 2.โมเดิร์นเทรด, ไฮเปอร์มาร์เก็ต และมินิมาร์ทร้านขายยา 3.ทีวีช้อปปิ้ง อย่างช่องO-Shoppingและทีวีไดเรค 4.ขายออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ 5.Karmart Shop ที่มีการเปิดขายแฟรนไชส์ร่วมด้วย เพื่อให้กระจายสินค้าได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีอยู่กว่า 60 สาขาทั่วประเทศ 6.ตลาดส่งออก มากกว่า 10 ประเทศทั้งในแถบเอเชีย ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย และเมียนมา “สำหรับธุรกิจใหม่ ช่องทางออนไลน์เหมาะสมที่สุดสำหรับการโฆษณา เพราะใช้งบไม่สูง ถ้าคอนเทนต์ดีก็จะเกิดการเเชร์ส่งต่อจนกลายเป็นไวรัลที่ฮิตไปทั่วโลกโซเชียลในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งยังวัดผลได้ชัดเจน เช่น เราลงทุนไปซื้อโฆษณาไปเท่านี้ จะมีคนอ่านกี่คน มีคนแชร์เท่าไหร่ และยังเปรียบเทียบได้อีกว่า ถ้าเป็นแบบออแกนิกโพสต์จะได้วิวเท่าไหร่ ถ้า Boost post จะเพิ่มมากแค่ไหน ซึ่งทั้งหมดนี้มันจะช่วยให้ง่ายขึ้นในการวางแผนการตลาด” พงศ์วิวัฒน์ กล่าวเสริม แผนธุรกิจในอนาคต พงศ์วิวัฒน์ จะรุกตลาดอีคอมเมิร์ชมากขึ้น เพราะมีสัดส่วนการเติบโตสูงขึ้นทุกปี พร้อมมีแผนขยายการส่งออกไปยังประเทศรัสเซีย และแถบตะวันออกกลาง ควบคู่ไปกับการทำการตลาดอย่างรอบด้าน ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ การที่ Karmart ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้เกิดขึ้นจากการวางแผนธุรกิจอย่างรอบด้าน อาศัยการลองผิดลองถูก แล้วนำประสบการณ์ที่ได้นั้น มาช่วยรับมือปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ครั้งทำให้ผ่านช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของธุรกิจต่อไปได้