แต่การดูแค่ชื่อเสียงของห้างฯ อย่างเดียว ก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินเสมอไป ในทางฮวงจุ้ยเองบอกเอาไว้ชัดเจนถึงเรื่องของทำเลการค้าว่า เป็นหัวใจของการค้าขาย  ห้างฯ ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่ดี ถึงแม้จะมีชื่อเสียงก็อาจจะประสบความล้มเหลวได้เช่นกัน “ห้างฯ ต้องอยู่ในทำเลขากลับบ้าน” นี่เป็นข้อบัญญัติที่ผมตั้งขึ้นมาเอง ไม่มีในตำราฮวงจุ้ยเล่มไหนบอก ผมเองเคยเก็บข้อมูลของห้างฯต่างๆ ในกรุงเทพฯ และได้ข้อสังเกตในเรื่องของทำเลที่ตั้งของห้างฯ แต่ห้างฯ พบว่า ห้างฯที่มีคนเข้ามาก นอกจากจะเป็นแค่ชื่อเสียงแล้ว ทำเลที่ตั้งของห้างฯ จะอยู่ทางฝั่งขากลับมากกว่าขาเข้าเมือง ซึ่งเหตุผลก็คงมาจากธุรกิจห้างสรรพสินค้า จะเปิดบริการในช่วงกลางวันจนถึงกลางคืน ช่วงเวลาที่จะขายได้มากจะอยู่ช่วงตอนเย็นหลังเลิกงาน การจราจรในกรุงเทพฯ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพิจารณาเลือกทำเล ถ้าห้างฯ อยู่ในฝั่งขากลับบ้าน ลูกค้าจะสะดวกในการเข้าห้างฯ มากกว่าห้างฯ ที่อยู่ขาเข้า เพราะไม่ต้องยูเทิร์นรถ ก็อย่างที่ทราบๆ กันดีอยู่แล้วว่า ช่วงเย็นหลังเลิกงานรถติดขนาดไหน คงไม่มีใครอย่างกลับไปเข้าห้างฯ อีกฝั่งหนึ่งแน่

ห้างAอยู่ฝั่งขากลับจะได้เปรียบห้างBที่อยู่ฝั่งขาเข้า เพราะลูกค้าจะต้องยูเทิร์นรถทำให้เข้าห้างฯไม่สะดวก ห้างฯ ที่ตั้งอยู่ตรงฝั่งขาเข้า ส่วนใหญ่จะแก้ไขโดยการทำสะพานลอยเชื่อมถนนสองฝั่ง หรือทำทางยกระดับเข้าสู่ตัวห้างฯ เลย เพื่อให้ลูกค้าสะดวกในการเข้าห้างฯ เพราะฉะนั้น ถ้าใครกำลังคิดจะไปเปิดร้านค้าในห้างฯ ก็ลองไปสังเกตกันดูว่า ห้างฯ นั้นตั้งอยู่ทางฝั่งไหน “หน้าห้างฯกว้าง ดีกว่าแคบ” นอกจากพิจารณาในเรื่องของทำเลที่ตั้งแล้ว ตัวอาคารของห้างฯ ก็มีส่วนเช่นเดียวกัน

ห้างฯ ที่ดูใหญ่และโอ่อ่า ย่อมน่าเข้ามากกว่าห้างฯที่ดูเล็ก ในทางฮวงจุ้ยบอกว่าหน้าอาคารยิ่งกว้าง ยิ่งรับกระแสโชคลาภเข้าอาคารได้มาก ห้างฯ ที่มีหน้าแคบดูแล้วไม่มีกำลัง คนโบราณจะเปรียบหน้าอาคารเหมือนโหงวเฮ้งหน้าคน คนหน้าใหญ่หมายถึงหน้าเจ้าทรัพย์ เป็นคนมีเงิน เพราะฉะนั้น ห้างฯ ที่มีหน้าอาคารกว้าง ย่อมส่งเสริมให้ฮวงจุ้ยห้างฯนั้นดีตามไปด้วย

ห้างฯ   A มีหน้าอาคารที่กว้างกว่าห้างฯ B ดูจากภายนอกห้างฯ A   จึงมีฮวงจุ้ยที่ดีกว่า นี่เป็นเพียงข้อสังเกตแบบง่ายๆ สำหรับปัจจัยในการพิจารณาเลือกห้างฯ ที่มีฮวงจุ้ยที่ดี ลองนำไปใช้พิจารณากันดูนะครับ