นพพล เป็นลูกคนสุดท้องของครอบครัวร้านขายยา “ทิพโอสถ” ที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งฐานะทางบ้านก็ถือว่าค่อนข้างดี ตั้งแต่เด็กจนโตเขาช่วยที่บ้านขายยามาโดยตลอด ครอบครัวคาดหวังให้มาสืบทอดร้านขายยาต่อไป มาตอนช่วงเรียนปริญญาโท นี่เองมีเพื่อนขับรถยนต์มารับไปเรียนด้วยกัน ตอนนั้นเขาก็ถามเพื่อนว่า “ซื้อรถมาได้อย่างไร ขอพ่อแม่หรือเปล่า” เพื่อนเขากลับตอบมาว่า “ซื้อมาด้วยเงินของตัวเอง โดยช่วยที่บ้านทำธุรกิจขายลูกชิ้น” คำตอบนั้นไปสะกิดใจนพพล ถ้าเขาอยากจะมีรถขับก็ต้องหาเงินซื้อด้วยตัวเอง อาชีพแรกของนพพลในวัย 24 ปี คือการเป็น “เซลล์ขายลูกชิ้นหมู” ที่โรงงานของเพื่อน แต่ใช่ว่าการรู้จักกับลูกเจ้าของโรงงานจะทำให้เขาทำงานสบาย กลับกันเขาต้องทุ่มเทแรงกายอย่างหนักตลอด 4 ปี (2549-2553) ของชีวิตการทำงานเป็นเซลล์ กว่าจะมีบ้านมีรถอย่างที่เขาต้องการ ในช่วงการเป็นเซลล์นั้นก็สอนเทคนิคการขายในหลายเรื่องอย่าง การเข้าหาลูกค้าตอนนั้นเขาตั้งคติไว้ว่า “จะไปขายของร้านไหน เขาต้องเข้าไปกินข้าวกับบ้านหลังนั้นให้ได้ก่อน” การผูกมิตรกับลูกค้า ทำเหมือนว่าเป็นญาติ เป็นเพื่อนพี่น้อง เมื่อสนิทสนมกันแล้วก็จะขายของง่ายขึ้น
ชีวิตของการเป็นเซลล์กำลังไปได้ดี แต่เมื่อคุณพ่อของเขาเสียชีวิตลงในปี 2553 นพพลต้องกลับมารับช่วงต่อกิจการที่พ่อสร้างไว้ เขาก็พัฒนาธุรกิจให้มันเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เท่านั้นยังไม่พอ!! นพพลก็อยากจะสร้างสินค้าของตนเองจากสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่น และพบว่า จ.ราชบุรี มีมะพร้าวน้ำหอมอยู่มาก ประกอบกับครอบครัวมีสวนมะพร้าวอยู่ จึงมีความคิดแปรรูปเป็นวุ้นมะพร้าว นพพล ลองผิดลองถูกทำด้วยตัวเองอยู่เป็นเดือน กว่าจะได้วุ้นมะพร้าวที่ต้องการ คือ เนื้อวุ้นอ่อนนุ่ม หวานละมุนลิ้น และหอมกลิ่นมะพร้าวแท้ๆ มะพร้าวที่ใช้เป็นพันธุ์น้ำหอมราชบุรีที่มีความหวานกว่าที่อื่น โดยวัดจาก “หน่วยความหวานBrix”ได้ 9 Brix แต่มะพร้าวทั่วไปความหวานอยู่ที่ 5 Brix และปลูกแบบออแกนิก ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ปลอดสารเคมีต่างๆ ทำให้ได้วุ้นมะพร้าวที่ต่างจากร้านทั่วไป ที่ส่วนใหญ่เนื้อแข็งกระด้าง เมื่อได้วุ้นมะพร้าวที่สมบูรณ์แล้ว เขาก็เริ่มติดต่อไปขอฝากขายตามร้านต่างๆ
วันแรกที่ไปถูกปฏิเสธแทบทุกร้าน ทำให้เขากลับมาทบทวนดูว่าทำผิดพลาดตรงไหน จนนึกได้ว่าตอนขายวันแรก เขาไม่ได้ให้ลองชิม เขากลับไปใหม่ครั้งที่ 2 แล้วเปิดวุ้นมะพร้าวให้ทุกร้านได้ชิมก่อน และเมื่อได้ชิมทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย และยอมให้ฝากขายทุกร้าน ตอนแรกทำกันแบบในครัวเรือน ทำวุ้นมะพร้าววันละ 1 หม้อ แล้วไปฝากขายตามร้านใกล้บ้าน เมื่อได้ผลตอบรับที่ดี มีการส่งขายไปทั่วจังหวัดและต่างจังหวัด ก็ขยายเป็นโรงงานขนาดย่อมๆ ทำวันละ 10 หม้อ จากนั้นนพพลก็คิดการใหญ่จะนำวุ้นมะพร้าวดำเนินสะดวก เข้าไปขายในห้างสรรพสินค้า นั่นทำให้เขาต้องปรับปรุงโรงงานและขั้นตอนการผลิตให้ได้มาตรฐาน ขอ อย.GMPและ HACCP โดยขั้นตอนการทำก็เป็นแบบพาสเจอร์ไรส์ บรรจุในแพ็คเกจจิ้งแบบสุญญากาศเพื่อให้วุ้นมะพร้าวอยู่ได้นานขึ้น จากปกติอยู่ได้แค่ 7 วัน ก็เป็น 21 วัน จากนั้นก็ไปเสนอขายตามห้างฯ อย่างสยามพารากอน, เอ็มควอเทียร์, แม็กซ์แวร์ลู และเดอะมอลล์ ซึ่งก็ใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะนำไปวางขายได้
ปัจจุบันวุ้นดำเนิน นอกจากจะมีวุ้นมะพร้าวที่เป็นพระเอกของแบรนด์แล้ว ยังมีวุ้นอีกหลายรสชาติที่ทำออกสู่ตลาด เช่น วุ้นสตรอว์เบอร์รี่ วุ้นเก๊กฮวย วุ้นเงาะ และวุ้นลำไย เป็นต้น วางจำหน่ายตามห้างสรรพค้าชั้นนำและร้านค้าทั่วประเทศ ราคาเริ่มต้นที่ถ้วยละ 25 บาท รวมถึงส่งออกไปยังต่างประเทศอย่าง จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ รวมแล้วมียอดขายกว่า 7 ล้านถ้วยต่อปี ทำรายได้กว่า 120 ล้านบาท “การที่เราจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีความเก่งที่จะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ต่างๆ แล้วก็มาพัฒนาตัวเอง ความกล้า ที่จะลงมือทำลองผิดลองถูก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้มาง่ายๆ ความขยันในทุกอย่างที่ทำและ ความเฮงที่ไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่มาจากจังหวะลองผิดลองถูก เราเข้าต้องถูกจังหวะ ถ้าทำอย่างนี้ได้เชื่อว่าทุกคนก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน” นพพลให้ข้อคิดทิ้งท้าย