สินค้าไทยที่สร้างความประหลาดใจจนอดใจไม่ไหวที่จะต้องนำมาเล่าให้ฟัง คือ “เครื่องดื่มชูกำลัง” ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่าเครื่องดื่มประเภทนี้ในไทย ผู้ดื่มส่วนใหญ่นิยมดื่มเพื่อใช้กระตุ้นร่างกายให้สดชื่นและให้มีเรี่ยวแรงทำงาน แต่ในเมียนมาเครื่องดื่มประเภทเดียวกันนี้กลับได้รับความนิยมในลักษณะเครื่องดื่มดับกระหาย รวมถึงดื่มคู่กับการรับประทานอาหารเช่นเดียวกับที่ชาวไทยนิยมดื่มน้ำอัดลมหรือชาเขียวพร้อมไปกับมื้ออาหาร ยิ่งไปกว่านั้นภาพลักษณ์ของสินค้ากลุ่มนี้ในตลาดเมียนมาก็ค่อนข้างจะเป็น “สินค้าแฟชั่น” เรียกง่ายๆ ว่าใครไม่ดื่มอาจดูเชย! หรือไม่ทันสมัยในสายตาเพื่อนฝูง สินค้าไทยถัดมาที่อยากพูดถึง คือ “ปิ่นโต” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดเมียนมา
เนื่องจากชาวเมียนมากว่า 90% นิยมนำอาหารจากบ้านไปรับประทานที่ทำงานหรือโรงเรียน โดยมักนิยมใส่อาหารในปิ่นโต ซึ่งจากการสังเกตและสอบถามชาวเมียนมา พบว่าปิ่นโตแบรนด์ไทยได้รับความนิยมสูงและมีภาพลักษณ์เป็นสินค้า Hi-end ชาวเมียนมา ที่ใช้ปิ่นโตแบรนด์ไทย จะรู้สึกถึงความมีระดับ และที่น่าสนใจคือ ขณะถือปิ่นโตชาวเมียนมามักหันโลโก้ปิ่นโตแบรนด์ไทยออกให้เห็นกันทั่ว เหมือนเช่นที่นิยมหันโลโก้กระเป๋าหรือเครื่องประดับนั่นเอง พฤติกรรมการใช้ปิ่นโตของชาวเมียนมาจึงแตกต่างจากชาวไทยที่ผู้ใช้มักเป็นผู้สูงอายุหรือมักใช้ในงานพิธีทางศาสนา เช่น การถวายอาหารแก่พระสงฆ์ การทำบุญในวาระต่างๆ
สินค้าไทยอีกประเภทหนึ่งที่สังเกตเห็นถึงความแตกต่างในการใช้งานระหว่างไทยกับเมียนมา คือ “ทิชชูเปียก” ซึ่งในประเทศไทยมักใช้ทำความสะอาดมือหรือใช้กับเด็กทารกเป็นหลัก แต่ในเมียนมาสินค้าประเภทนี้ถือเป็นของสำคัญที่บริษัททัวร์และไกด์ท้องถิ่นต้องมีติดรถไว้เสมอ เพื่อบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะเพื่อใช้เช็ดเท้า หลังจากออกจากวัดและสถานที่สำคัญทางศาสนา เนื่องจากผู้ที่จะเข้าไปในวัดในเมียนมาต้องถอดรองเท้าทุกคน ซึ่งโปรแกรมทัวร์ส่วนใหญ่ในเมียนมาก็จะเน้นเข้าชมและสักการะวัดหรือโบราณสถานต่างๆ ทำให้ทิชชูเปียกเป็นสินค้าสำคัญในธุรกิจท่องเที่ยวของเมียนมา
นอกจากสินค้าไทยที่ยกตัวอย่างไปแล้วข้างต้น ยังมีพฤติกรรมหรือวัฒนธรรมการอุปโภคบริโภคและการใช้ชีวิตประจำวันของชาวเมียนมาที่แตกต่างจากไทย เช่น ชาวเมียนมาไม่นิยมดื่มเครื่องดื่มใส่น้ำแข็ง ส่วนหนึ่งอาจมาจากปัญหาระบบไฟฟ้าที่ยังไม่เพียงพอ ทำให้การผลิตและเก็บรักษาน้ำแข็งทำได้ยาก หรือแม้แต่การเคี้ยวหมากที่นิยมแพร่หลายในทุกวัย ไม่ว่าจะวัยหนุ่มสาวหรือผู้สูงอายุ ซึ่งชาวเมียนมาเชื่อว่าการเคี้ยวหมากจะช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่น วัฒนธรรมนี้อาจเป็นอุปสรรคในการทำตลาดของสินค้ากลุ่มลูกอม หมากฝรั่งดับกลิ่นปาก ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะสะท้อนให้เห็นว่าการทำตลาดสินค้าไทยในต่างประเทศ ผู้ประกอบการควรต้องเข้าใจถึงพฤติกรรมผู้บริโภคให้ถ่องแท้ เพราะแม้เป็นสินค้าชนิดเดียวกันกับในประเทศไทย แต่หากไปจำหน่ายในต่างประเทศ ก็อาจมีการอุปโภคบริโภคหรือใช้งานแตกต่างกันไปตามพฤติกรรม วัฒนธรรม และความเชื่อ หากเราเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างถูกต้อง ย่อมช่วยให้สามารถพัฒนา และนำสินค้าไทยเข้าไปจำหน่ายในต่างประเทศ จนกลายเป็นสินค้าที่นั่งอยู่ในใจของผู้บริโภคต่างแดนได้ไม่ยากนัก
ขอบคุณข้อมูลจาก Exim Bank