ศูนย์รวมแฟรนไชส์น่าลงทุน

จากขยะสู่ราคา! “Madmatter” หมวกตัดต่อผ้ามือสอง ขายใบเป็นพัน!!


ทั้งคู่เล่าว่า ในยุโรป อเมริกา เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น มีการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ามือสองอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องพื้นที่อยู่อาศัย ทำให้เสื้อผ้าจำนวนมากถูกส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงเมืองไทยด้วย จึงอยากจะสร้างประโยชน์ให้กับเสื้อผ้าเหล่านี้ ด้วยการแปรรูปให้เป็นสินค้าใหม่ ที่ของเดิมก็มีเนื้อผ้าคุณภาพดีมาก และเป็นแบบที่หายากในตลาดมือหนึ่งเมืองไทยอีกด้วย โดยทั้งสองคน ได้คัดสรรเสื้อผ้าจากตลาดมือสองอย่างพิถีพิถัน จากนั้นนำมาเข้ากระบวนการฆ่าเชื้อในโรงงาน ก่อนนำมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งหมวกและกระเป๋า โดยออกแบบให้ดูเรียบง่าย แต่มีเอกลักษณ์และมีฟังก์ชั่นการใช้งานครบถ้วน “แบรนด์ของเรามีปรัชญาคือ ‘Waste to Worth’ จากขยะสู่ราคา ซึ่งคำว่า Waste เราตีความให้กว้างขึ้น ไม่ใช่แค่ขยะ แต่เป็นสิ่งของที่ดูไม่มีค่า หรือไม่ได้ใช้ประโยชน์ มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า” ธนิสรากล่าว

แต่ด้วยเสื้อผ้ามือสองส่วนใหญ่มาจากเมืองหนาว ก็มักจะมีไซส์ใหญ่เกินกว่ามาตรฐานคนไทย ทั้งเสื้อแจ็คเก็ต เสื้อโค้ท แต่ละตัวก็มีความหนา ความบาง ความยืดหยุ่น ลวดลาย และสีแตกต่างกันไป ทำให้ต้องออกแบบและทำเป็นรายชิ้นโดยนำแต่ละส่วนของเสื้อผ้ามาประกอบกันเป็นชิ้นงานต่างๆ นอกจากนี้ยังได้เอาหนัง และผ้า Dead Stock (ผ้าม้วนเก่าเก็บ) มาผสมด้วย เพื่อเพิ่มจำนวนไลน์การผลิตให้มากขึ้น ลดปัญหาการทำชิ้นงานได้จำกัด หากใช้เสื้อผ้าอย่างเดียว แต่เสื้อผ้ามือสองยังคงเป็นจุดเด่นของแบรนด์อยู่

Madmatter เปิดตัวสินค้าแรก ในปี 2016 คือหมวกรุ่น Five Patch ที่ทำจากผ้าวูลฟลันเนิลใช้เทคนิค Patchwork โดยนำเอาผ้าชิ้นเล็กๆ มาประกอบขึ้นเป็นหมวกหนึ่งใบ ทรงเหลี่ยมที่มีเอกลักษณ์ ดูเรียบง่าย เข้ากันได้กับทุกชุดทุกการแต่งตัว อีกรุ่นคือ Six-Nature ที่มีดีไซน์ที่เรียบง่ายกว่า คล้ายหมวกเบสบอล ดูกลมมนอย่างคลาสสิก ซึ่งสาเหตุทำหมวกเป็นอย่างแรก ก็เพราะมีความซับซ้อนน้อยกว่าทำเสื้อผ้า ใช้วัตถุดิบหลากหลาย และไม่มีปัญหาเรื่องไซส์

จากนั้นได้ขยายไลน์การผลิตเป็น กระเป๋าผ้าสะพายข้าง และกระเป๋าสตางค์ ซึ่งยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือ รีไซเคิลเสื้อผ้ามือสอง และสต็อกผ้าเก่าจากโรงงานมาชุบชีวิตใหม่ ด้วยเทคนิค Patchwork มีดีไซน์ที่เรียบง่าย โดยผลตอบรับจากลูกค้าก็ค่อนข้างดี มีทั้งชื่นชอบในแง่ของคุณภาพ การออกแบบและการช่วยรักษ์โลกอีกด้วย ปัจจุบันสินค้าหลักของ Madmatter ก็ยังคงเป็นหมวกและกระเป๋าสะพายข้าง จำหน่ายผ่านทางออนไลน์เป็นหลัก เช่น www.facebook.com/madmatterstore, https://th.pinkoi.com/store/madmatter และห้างฯ สยามดิสคัฟเวอรี่ ราคาเริ่มต้นที่ 990 -1,790 บาท

ธนิสรา กล่าวเสริมว่า กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น Gen Y เพราะไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นนี้ไม่ได้เสพแค่รูปลักษณ์หน้าตาสินค้า แต่ยังสนใจเรื่องราว ที่มา และประสบการณ์ที่จะได้รับจากสินค้าอีกด้วย จึงเข้าถึงลูกค้าที่มีนิสัย “เป็นตัวของตัวเอง รักในความคิดสร้างสรรค์ กล้าแตกต่าง” ได้ง่าย และทำให้แบรนด์มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยหลังจากการสร้างฐานลูกค้าให้แข็งแรง แบรนด์ก็จะขยายไปสู่การมีหน้าร้าน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งขยายไปสู่ต่างประเทศ  ล่าสุดก็ได้ร่วม Collaboration กับแบรนด์ “Fin” จากสิงคโปร์ โดยนำผ้าญี่ปุ่นจาก Fin มาแมทช์กับผ้ามือสองของแบรนด์มาทำเป็นหมวกรุ่นพิเศษ “เราอยากแสดงให้เห็นว่าเสื้อผ้าเก่าไม่ใช่ขยะอย่างที่ทุกคนเห็น มันยังมีคุณค่าและความสวยอยู่ในอนาคตจะไม่หยุดอยู่แค่การใช้เสื้อผ้ามือสองเท่านั้น จะคอยสรรหาวัสดุและวิธีการใหม่ๆ ที่คนอาจจะมองข้ามและคาดไม่ถึง”

Madmatterเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าจับตามอง ด้วยคอนเซปส์ผลิตภัณฑ์ที่แข็งแรง สร้างมูลค่าให้กับของเหลือใช้ช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งตรงใจกลุ่มผู้บริโภคแนว ECOที่มีอยู่ทั่วโลก ในอนาคตเราอาจจะเห็นแบรนด์ของคนไทยแบรนด์นี้ไปโลดแล่นบนเวทีโลกก็เป็นได้ ภาพจาก www.facebook.com/madmatterstore ภาพบุคคลจาก TCDC www.tcdcconnect.com