โอกาสของคนตัวเล็ก

  • ติดต่อเรา
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อโฆษณา
Responsive image

ผลสำรวจ 64% ระบุฟินเทคช่วยให้การวางแผนและจัดการทางการเงินง่ายดายยิ่งขึ้น

LINEคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยข้อสรุปจากผลสำรวจในแง่ความคิดเห็นและความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยีทางการเงินหรือฟินเทคผ่านกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนกว่า 5,000 คน ในตลาดหลัก 7 แห่ง โดยเน้นไปที่ตลาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ ญี่ปุุ่น ไทย ไต้หวัน และอินโดนีเซีย รวมไปถึงเกาหลี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา พบว่าในภาพรวมยังมีโอกาสสูงที่ฟินเทคจะเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง หากสร้างความรู้ความเข้าใจและการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค

ความพร้อมของโลกต่อฟินเทค

 ผลสำรวจจากทั้ง 7 ตลาดหลัก ระบุ 64% ของผู้เข้าร่วมการสำรวจยอมรับว่าเทคโนโลยีทางการเงินช่วยในการวางแผนและจัดการทางการเงินให้ง่ายขึ้น โดยรวมมีความเชื่อมั่นสูงต่อเทคโนโลยีด้านการเงิน คิดเป็น 63% ที่วางใจในผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตัวเองรู้จัก ส่วนอีก 30% ยังไม่มั่นใจ ขณะเดียวกันพบว่า
ความเชื่อมั่นมีแนวโน้มสูงขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ส่วนกลุ่มคนอายุ 55 ปีหรือมากกว่า มีความเชื่อมั่นเพียง 55% เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุ 18-34 ปี ที่มีความเชื่อมั่นสูงถึง 69% บ่งชี้ว่าฟินเทคมีมูลค่าลงทุนที่สูงกว่ามากในกลุ่ม
คนรุ่นใหม่

อย่างไรก็ดีจากผลสำรวจทั้งหมด ผู้เข้าร่วมการสำรวจยังมีความรู้ความเข้าใจในบริการและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการเงินในระดับต่ำ คือ มีเพียง 44% ที่ตอบว่ารู้จักเป็นอย่างดี ซึ่งในจำนวนนี้คือกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 18-34 ปี โดยมีสัดส่วนสูงถึง 52%

โดยจากบรรดาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่กลุ่มผู้เข้าร่วมการสำรวจต้องการใช้งานผ่านทางมือถือหรือแอพพลิเคชันมากที่สุด ได้แก่ บริการเงินฝาก (65%), บริการโอนเงิน (57%), บริการตรวจสอบยอดบัญชี (48%) และบริการประกันภัย (48%) โดยมีประกันชีวิต (65%), ประกันการเดินทาง (58%) และประกันที่อยู่อาศัย (50%) เป็นประเภทของบริการประกันภัยที่กลุ่มผู้เข้าร่วมการสำรวจต้องการเข้าถึงผ่านช่องทางดังกล่าวมากที่สุด   

 ความพร้อมต่อฟินเทคยังคงแตกต่างกันมากในแต่ละภูมิภาค

 ในขณะที่ผู้เข้าร่วมการสำรวจจากแต่ละประเทศต่างมีความสนใจและความกังวลที่แตกต่างกัน โดยไทย ไต้หวัน และอินโดนีเซีย ให้ความสนใจกับการเงินดิจิตอลในอนาคตเป็นอย่างมาก เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ของสังคมไร้เงินสดในอนาคตพบว่าคำตอบจากทั้ง 3 ประเทศอยู่ในเกณฑ์บวกถึงกว่า 37% โดยเฉลี่ย ซึ่ง 57% ของผู้เข้าร่วมการสำรวจในไทยกล่าวว่า “รู้สึกตื่นเต้น” ที่จะเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่ 56% และไต้หวันที่ 52% ส่วนเกาหลีก็ตอบรับในเชิงบวกเช่นกันโดยอยู่ที่ 45%

 ประเทศเหล่านี้ต่างตอบรับในเชิงบวกกับการซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินผ่านบริการบนมือถือ ซึ่ง 65% ของผู้เข้าร่วมการสำรวจทั้งหมดจะเปิดบัญชีเงินฝากผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือนำโดยประเทศไทยที่ 83% ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 77% และไต้หวัน 69% (ผลตอบรับในเกาหลีก็ดีเช่นกัน โดยอยู่ที่ 75%)  

ขณะที่ผู้เข้าร่วมการสำรวจทั้งในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ต่างยังไม่กระตือรือร้นที่จะออกจากระบบการเงินแบบเดิม มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ตื่นเต้นกับสังคมไร้เงินสด โดยญี่ปุ่นอยู่ที่ 24% สหรัฐอเมริกา20% และสหราชอาณาจักรรั้งท้ายที่ 19%

เฉพาะในญี่ปุ่นถือว่ายังรั้งท้ายประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ในเรื่องของการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดแต่อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลญี่ปุ่นเองก็กำลังพยายามที่จะลดการพึ่งพาเงินสดให้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จึงถือว่ายังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกมาก

ในส่วนของการซื้อบริการฟินเทคต่างๆ ผ่านทางมือถือ ผลสำรวจจากทั้งในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ยังถือว่าน้อยกว่าค่าเฉลี่ย โดยญี่ปุ่นมีจำนวนผู้ที่ต้องการเปิดบัญชีเงินฝากผ่านมือถือน้อยที่สุดเพียง 49% ขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 53% และสหราชอาณาจักรที่ 57% (จากผลสำรวจเฉลี่ยที่ 65%) อย่างไรก็ดี ในแง่การลงทุนผ่านทางมือถือ สหราชอาณาจักรรั้งท้ายที่ 28% ตามด้วยสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นอยู่ที่ 37% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของผลสำรวจที่ 45%

 
คนญี่ปุ่นยังไม่พอใจกับตัวเลือกในปัจจุบันแต่ก็ยังไม่รู้จักตัวเลือกใหม่ดีนัก

 
หากเปรียบเทียบกับประเทศไทย อินโดนีเซีย และไต้หวัน ญี่ปุ่นยังรั้งท้ายจากผลสำรวจในแง่ความเชื่อมั่นและความเข้าใจต่อฟินเทค โดยผู้ร่วมการสำรวจที่เชื่อมั่นในฟินเทคมีเพียง 38% หากเทียบกับค่าเฉลี่ยผลสำรวจซึ่งอยู่ที่ 63% และจากรายงานมีเพียง 22% ที่รู้จักฟินเทคเป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 44%

ผลสำรวจระบุว่าชาวญี่ปุ่นนิยมทำธุรกรรมทางธนาคารด้วยตัวเองมากที่สุด (อยู่ที่ 80% เทียบกับผลสำรวจเฉลี่ย 68%) และไม่นิยมทำธุรกรรมดังกล่าวผ่านทางมือถือที่สุด (คิดเป็น 38% เทียบกับผลสำรวจเฉลี่ย 58%) แต่ในขณะเดียวกันกลับพบว่า ญี่ปุ่นรั้งอันดับท้ายในเรื่องความพึงพอใจต่อการให้บริการทางการเงินในปัจจุบัน (คิดเป็น 31% เทียบกับผลสำรวจเฉลี่ย 67%) ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคเองก็มีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่เช่นกัน

LINE ในฐานะผู้บุกเบิกบริการฟินเทคบนมือถือ

LINE ตระหนักถึงความแตกต่างในแต่ละประเทศ จึงได้ใช้เวลาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ฟินเทคตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยในเดือนธันวาคม 2557 LINE ได้เปิดตัว LINE Pay ซึ่งเป็นบริการโอนและจ่ายเงินสำหรับแอพพลิเคชั่น LINE จนถึงปัจจุบันมียอดผู้สมัครใช้งานถึงกว่า 40 ล้านบัญชี และมียอดทำธุรกรรมทางการเงินทั่วโลกกว่า 450,000 ล้านเยนต่อปี และเมื่อเดือนมกราคม 2561 LINE ยังได้ก่อตั้ง บริษัท LINEFinancial คอร์เปอเรชั่น จำกัด หรือ “LINE Financial” เพื่อสร้างสรรค์บริการทางการเงินที่หลากหลายขึ้นสำหรับใช้งานผ่านทางแอพพลิเคชั่น LINE

ปัจจุบัน LINE Financialยังคงนำเสนอบริการด้านประกันภัยผ่านทาง LINE Insurance ด้านการลงทุนผ่านทาง LINE Smart Invest และด้านบริหารการเงินส่วนบุคคลผ่านบริการ LINE Kakeibo ในประเทศญี่ปุ่น และล่าสุด
ได้ประกาศแผนการก่อตั้งธนาคาร แพลตฟอร์มให้คะแนนเครดิต และบริการสินเชื่อ โดยกำลังจะนำบริการด้านการเงินใหม่ๆ เหล่านี้เข้าสู่แพลตฟอร์มหลักของ LINE ในอนาคต

“LINE มีทิศทางการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน เรามองเห็นศักยภาพจากความต้องการบริการฟินเทคที่สูงมากในตลาดเอเชีย ขณะเดียวกันเราก็พยายามเอาชนะความท้าทายในแต่ละตลาดที่แตกต่างกันไป” มร. ทาเคชิ อิเดซาวะ ประธานกรรมการบริหาร LINE Corporation กล่าว “จากการชำระเงินแบบไร้เงินสดมาจนถึงบริการ
ด้านประกันภัยและการลงทุน LINE มุ่งมั่นนำผลิตภัณฑ์และบริการฟินเทคมาสู่ผู้ใช้งานให้ง่ายดายสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นและตรงกับความต้องการให้มากที่สุด”