ศูนย์รวมแฟรนไชส์น่าลงทุน

แนะ 6 วิธีจัดการระบบขนส่งสินค้าให้ประทับใจในช่วงเทศกาล


สำหรับผู้ประกอบการที่ใช้ช่วงเวลาเทศกาลเป็นโอกาสในการสร้างยอดขาย นอกเหนือจากสินค้าที่ต้องเตรียมให้พร้อม ระบบชำระที่ต้องแม่นยำ เรื่องระบบขนส่งก็มีความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน เพราะหากมีการจัดการที่ดี สินค้าส่งตรงถึงมือลูกค้าได้ทันเวลา จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าไม่ใช่น้อย

บทความของ DHL Express Thailand ได้มีการกล่าวแนะนำเหล่าเอสเอ็มอีที่ต้องจัดการกับออเดอร์สั่งซื้อสินค้าจำนวนมากที่ถาโถมเข้ามาช่วงเทศกาล โดยจากสถิติการทำงานของพนักงาน DHL Express พบว่า ช่วงเวลาจัดส่งของไปต่างประเทศมากที่สุดตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐฯ เริ่มปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงปลายปี โดยมีจำนวนการจัดส่งพัสดุส่งออกไปต่างประเทศสูงกว่ายอดเฉลี่ยรายวันในไตรมาสที่สามถึง 41% และสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 25% และเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจของคุณจะผ่านช่วงเทศกาลไปได้อย่างสวยงาม DHL Express มีเคล็ดลับแนะนำ “กลยุทธ์การจัดส่ง” ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจัดส่งสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงเวลา และสามารถกระตุ้นยอดการสั่งซื้อได้ในคราวเดียวกันดังนี้

1.สต๊อกสินค้าในช่วงเวลา Celebration

จากผลสำรวจ National Retail Federation (NRF) พบว่าในปี 2018 ผู้บริโภคชาวอเมริกาจำนวน 7,277 คน วางแผนซื้อสินค้าให้คู่สมรสเป็นอันดับแรก (ประมาณ 2,832.05 บาท/คน) ตามด้วยครอบครัว (ประมาณ 804.93 บาท/คน) ครูและเพื่อนร่วมชั้น (ประมาณ 231.07 บาท/คน) เพื่อน (ประมาณ 228.84 บาท/คน) ตามลำดับ เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆทั้งในแถบยุโรปและเอเชียที่ตื่นเต้นกับเทศกาลนี้เช่นกัน ดังนั้น เอสเอ็มอีควรวางแผนรองรับออเดอร์และเริ่มสต๊อกสินค้าก่อนจนถึงช่วงเทศกาลเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ โดยผู้ค้าสามารถประเมินได้จากอัตราการสั่งซื้อในช่วงปกติอย่างน้อย 6 เดือน บวกกับการกระตุ้นตลาดด้วยแคมเปญหรือโปรโมชั่น จะช่วยให้สินค้าออกเร็วและไม่มีปัญหาเรื่องการค้างสต๊อก

2.ใส่ใจในขั้นตอนการแพ็คสินค้าและการจัดส่งออกไปต่างประเทศ

เมื่อมีปริมาณคำสั่งซื้อมากขึ้น จำนวนพนักงานก็ต้องมากพอที่จะรองรับการดูแลทุกออเดอร์ให้ได้คุณภาพตั้งแต่การรับออเดอร์ จนถึงขั้นตอนการห่อพัสดุเพื่อจัดส่งออกไปต่างประเทศ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆตั้งแต่การบรรจุสินค้าแต่ละชิ้นด้วยพลาสติกหุ้มกันกระแทกหรือคั่นด้วยโฟมกันกระแทกซึ่งสินค้าแต่ละชิ้นจะต้องมีวัสดุกันกระแทกอยู่ทุกด้านอย่างน้อยสองนิ้ว การติดฉลากที่อยู่ภายในกล่องบรรจุเพื่อสำรองข้อมูลติดต่อกรณีฉลากด้านนอกได้รับความเสียหาย รวมถึงข้อควรระวังในการส่งสินค้าอันตรายไปต่างประเทศโดยไม่ได้ตั้งใจ สินค้าหลายอย่างถูกจำแนกว่าเป็นสินค้าอันตรายสำหรับการขนส่งทางอากาศ เช่น ของเล่นที่มีแบตเตอรี่ เครื่องประดับตกแต่งที่ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์และใช้แบตเตอรี่ลิเธียม น้ำหอม ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ยาทาเล็บ ไฟแช็ค และกระป๋องสเปรย์ ฯลฯ รวมถึงตรวจสอบการผนึกกล่องพัสดุให้เรียบร้อยและแข็งแรง ก็สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้รับปลายทางให้อยากสั่งซื้อสินค้าในครั้งถัดไป

3.วางตารางจัดส่งสินค้าให้แน่นอนและแม่นยำ

ความประทับใจอีกประการหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้รับคือ เมื่อเอสเอ็มอีสามารถแจ้งสถานะพัสดุให้กับลูกค้าได้ทุกเมื่อ เช่น ระบุวันและสถานที่ที่พัสดุจะถึงปลายทางอย่างชัดเจนได้ตั้งแต่เริ่มต้นก่อนการสั่งซื้อ ระหว่างการจัดส่ง และเมื่อถึงปลายทางแล้ว

4.จัดโปรโมชั่น “ฟรีค่าส่ง” กระตุ้นยอดขาย

ค่าจัดส่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า ในช่วงเทศกาลเติมความหวานวันแห่งความรักแบบนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่คาดหวังว่าจะได้รับบริการจัดส่งฟรีเมื่อซื้อสินค้าตามยอดขั้นต่ำที่กำหนด หลายคนอาจมองหาบริการจัดส่งฟรีสำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้าคืน ในทางตรงกันข้ามการแจ้งค่าจัดส่งอาจเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ลูกค้ายกเลิกการซื้อสินค้า ดังนั้นผู้ค้าเอสเอ็มอีควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างแคมเปญการจัดส่งฟรี เพื่อเพิ่มยอดการสั่งซื้อ ทั้งนี้ต้องระบุรายละเอียดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับวันที่จัดส่ง ประมาณการณ์ช่วงที่สินค้าจะไปถึงมือผู้รับ และวันที่ตัดออเดอร์รับส่งสินค้าในหน้าเทศกาล

5.ใช้กลยุทธ์ “รับคืนสินค้าฟรี” ซื้อใจลูกค้า

คำว่า “ฟรี” มีพลังในโลกอีคอมเมิร์ซเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกันกับการรับคืนสินค้าซึ่งผู้บริโภคคาดหวังว่าจะได้รับการบริการที่เป็นมิตรในฤดูกาลพิเศษ การรับคืนสินค้าฟรีในช่วงเทศกาลส่งความสุขจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีในด้านการรักษาฐานลูกค้าเก่าและดึงดูดลูกค้ารายใหม่ๆ จากผลการศึกษาหลายฉบับระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า ลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้าบ่อยครั้งมากขึ้นหากรู้สึกมั่นใจในกระบวนการรับคืนสินค้า ดังนั้นผู้ค้าเอสเอ็มอีจำเป็นจะต้องรับรู้นโยบายการส่งคืนสินค้าที่ส่งออกไปต่างประเทศของแต่ละประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อลูกค้า เช่น กฎระเบียบของสหภาพยุโรปกำหนดว่าผู้ค้าปลีกออนไลน์ต้องอนุญาตให้ลูกค้าส่งคืนสินค้าที่ไม่ต้องการภายใน 14 วัน

6.เลือกใช้ผู้ให้บริการที่มีความชำนาญด้านโลจิสติกส์

หนึ่งในวิธีการที่ใช้ในการส่งออกไปต่างประเทศมากที่สุดคือ การทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ที่มีประสบการณ์และมีความเข้าใจในการวางแผนจัดส่งสินค้าจำนวนมาก เพราะจะได้รับการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่าย และไว้ใจได้ โดยเฉพาะกับธุรกิจที่มีลูกค้าอยู่ทั่วโลก ยิ่งต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระบวนการจัดส่งออกไปต่างประเทศของคุณสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นได้หรือไม่ รวมถึงความพร้อมที่ต้องรับกับการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและข้อกำหนดต่างๆ ซึ่งทีมงานฝ่ายโลจิสติกส์ประจำธุรกิจเอสเอ็มอีนั้นๆจะต้องสามารถปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ และดำเนินการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศที่มีความซับซ้อนได้อย่างทันท่วงที

นี่คือตัวอย่างการวางแผนการขนส่งของบริษัทจัดการขนาดใหญ่ ซึ่งผู้ประกอบการรายเล็กๆ อย่างเราๆ ก็สามารถนำมาปรับปรุงใช้ได้ เพราะถ้าเข้าใจและสามารถนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รับรองได้เลยว่าจะยิ่งสร้างยอดขายและกำไร แถมยังสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้อีก เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลยนะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : DHL Express Thailand