ศูนย์รวมแฟรนไชส์น่าลงทุน

รู้ให้ลึก! การเป็น “สตาร์ทอัพ” ไม่ยาก หากเข้าใจและปฏิบัติตาม 5 กฎเหล็ก ทำได้รับรองธุรกิจผ่าน ฉลุย!


เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า หนึ่งในธุรกิจที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2020 คือ “สตาร์ทอัพ” โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดการทำงานที่แตกต่างจากคนรุ่นเดิมๆ ตามกระแสยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะยุคนี้ที่มีความเจริญในด้านเทคโนโลยี พร้อมกับการก้าวเข้าสู่โลกยุค 5G ที่ไหนอนาคตมีแนวโน้มว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีจะได้รับอานิสงค์นี้โดยตรง หากรู้จักการนำความพร้อมในเรื่องต่างๆ เหล่านี้เข้ามาประยุกต์ใช้

และเมื่อเอ่ยถึงโหมดกลุ่มนักธุรกิจหน้าใหม่ที่เรียกกันว่า “สตาร์ทอัพ” ที่มีไฟแรง แนวคิดสร้างสรรค์ รู้จักนำมาผสมผสานกับนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับหน้าใหม่ในวงการสตาร์ทอัพจะต้องเตรียมตัวและต้องเรียนรู้อะไรบ้าง เราไปดูคำตอบนี้กันค่ะ

ก่อนอื่นเลยเราควรรู้ว่าธุรกิจของคุณเองเป็นสตาร์ทอัพประเภทใด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว จะแบ่งออกเป็น 8 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

1.FinTech ฟินเทค

ย่อมาจาก Financial Technology คือสตาร์ทอัพด้านการเงิน การธนาคาร และการลงทุนเป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกรรมทางการเงิน

2.FoodTech ฟู้ดเทค

ย่อมาจาก Food Technology เป็นการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร เช่น เปิดประสบการณ์รับประทานอาหารด้วยระบบ AR หรือ VR

3.EdTech เอ็ดเทค ย่อมาจาก Education Technology คือการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการพัฒนาการเรียนการสอน ผ่านแพล็ตฟอร์ม หรือมีการสร้างเว็บบอร์ดถามตอบให้ผู้ปกครอง

4.InsurTech อินชัวเทค ย่อมาจาก Insurance Technology เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจประกัน

5.HealthTech เฮลท์เทค ย่อมาจาก Health Technology เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับวงการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ หรือการรับคำปรึกษาจากแพทย์ โดยไม่ต้องมาโรงพยาบาล

6.PropTech พร็อพเทค ย่อมาจาก Property Technology เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านด้วยนวัตกรรมสร้างสรรค์ใหม่ๆ

7.AgriTech อะกริเทค หรือแอคเทค ย่อมจากจาก Agriculture Technology การปรับให้ภาคเกษตรใช้เทคโนโลยีในการผลิต เพาะปลูก และดูแลพืช

8.TravelTech ทราเวลเทค ย่อมาจาก Travel Technology พัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก จองทริปหรู

เมื่อที่ประเภทธุรกิจสตาร์ทอัพของตัวเราแล้วว่าอยู่ในกลุ่มไหน ทีนี้เรามาดูวิธีการพัฒนาตัวคุณเองว่าจะทำอย่างไร และสามารถนำพาธุรกิจของคุณไปสู่ทิศทางใด ดังต่อไปนี้

1.มีความเป็นครีเอทีฟ

คุณต้องมีไอเดียหรือมีความคิดที่แตกต่างพร้อมทั้งความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวคุณให้ได้ การไม่หยุดคิดและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คือหนทางที่จะนำไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จ และเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเดินต่อไปได้

2.ไม่หวั่นแม้งานหนักมาก
คุณต้องมีความพร้อมที่จะทำงานหนัก เพราะการเป็นสตาร์ทอัพแทบจะไม่มีเวลาหรือวันหยุดพักผ่อนเลย เพื่อให้ได้ผลงานมานำเสนอลูกค้าเป็นรายแรก อีกทั้งต้องเปิดรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่มักมากับเทคโนโลยีตลอดเวลา

3.สร้างชื่อเสียง ประจักษ์สายตาคนทั่วไป

การทำธุรกิจจะไม่มีใครรู้จักตัวคุณเลย หากคุณไม่สร้างจุดเด่นหรือสร้างการรับรู้แก่คนทั่วไป เพราะการทำธุรกิจไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน ชื่อเสียงและการยอมรับสำคัญมาก ดังนั้น การทำให้บริษัทของตัวคุณเองเป็นที่รู้จัก เช่น การเข้าประกวดตามเวทีเฟ้นหาสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ รวมไปถึงเวทีเสวนาด้าน Tech Talk จะช่วยให้คนรู้จักตัวคุณมากขึ้น

4.ใช้สื่อโซเชียลให้เกิดประโยชน์

แน่นอนว่า ปัจจุบันไม่มีใครเลยที่จะไม่จับมือถือหรือสมาร์ทโฟน ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน เมื่อเรากำลังอยู่ในโลกยุคโซเชียลก็ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้สื่อโซเชียลนี้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจของตัวคุณเอง จงใช้สื่อโซเชียลให้เกิดประโยชน์ที่สุด เพราะหลายแพลตฟอร์มเปิดให้ใช้ได้ฟรี

5.บริหารความเป็นหุ้นส่วน และยังรักษาตำแหน่งงานประจำไว้

เพราะการทำธุรกิจไม่สามารถสำเร็จได้จากคนๆ เดียว ดังนั้น จึงต้องอาศัยหุ้นส่วนทางธุรกิจ และพาร์ทเนอร์ธุรกิจหลายภาคส่วน บางคนมีหลายธุรกิจที่ต้องบริหารไปพร้อมๆ กัน ฉะนั้นคุณต้องให้น้ำหนักธุรกิจต่างๆ อย่างเหมาะสมไม่ขาดตกบกพร่องและไม่ละเลยหน้าที่ความเป็นหุ้นส่วน

และทั้งหมดนี้คือวิธีการและแนวทางที่จะทำให้นักธุรกิจหน้าใหม่อย่างคุณสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างสบายใจ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ชี้ช่องรวย อยากจะฝากและให้ความสำคัญอย่างมากก็คือ การไม่หยุดเรียนควบคู่ไปกับการพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ การติดตามข่าวสารธุรกิจโลกมีประโยชน์อย่างมากที่จะทำให้คุณรู้ทิศทางและทำให้คุณวางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชี้ช่องรวย เอาใจช่วยนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Krungsri Consumer