โอกาสของคนตัวเล็ก

  • ติดต่อเรา
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อโฆษณา
Responsive image

เทรนด์ใหม่ “ชายหล่อ” ดันตลาดความงามโต โอกาสทองของผู้ประกอบการ SMEs

เดิมเมื่อเอ่ยถึงธุรกิจด้านความงาม ส่วนใหญ่จะพุ่งเป้าไปที่กลุ่ม “ผู้หญิง” แต่วันนี้โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อกลุ่ม “ผู้ชาย” มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป คือ หันมาให้ความใส่ใจเรื่องสุขภาพและผิวพรรณกันมากขึ้น กลายเป็น “ชายหล่อ” ที่ใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากขึ้น และมีแนวโน้มว่าตลาดกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเสียด้วย

ปัจจุบันจะเห็นว่า กลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายมีวางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย หลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น ครีมบำรุงผิวหน้าและผิวกาย ครีมกันแดด อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ คลินิกเสริมความงามต่างๆ ที่เปิดรับลูกค้าที่เป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็น คลินิกรักษาผิวหน้าและดูแลผิวพรรณ โดยมีคอร์สต่างๆ ให้กลุ่มนี้เลือกในราคาเหมาะสม

ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่าตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความงามของผู้ชาย มีมูลค่าประมาณ 35,000 ล้านบาท แยกออกเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลร่างกาย 15,000 ล้านบาท ขณะที่คลินิกความงามสำหรับผู้ชาย มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยตลาดส่วนใหญ่เติบโตจากกลุ่มผู้ชายอายุระหว่าง 20-39 ปี หรือ กลุ่ม Millennials ที่เริ่มสนใจดูแลบุคลิกภาพของตนเอง และเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการ เกี่ยวกับความงามค่อนข้างสูง

แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบัน อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความงาม ของผู้ชาย รวมถึงการแข่งขันในตลาดที่มีความรุนแรง จากการเข้ามาของ ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และ SME แต่ตลาดนี้ก็มีความน่าสนใจ เมื่อพิจารณาจากจำนวนประชากรผู้ชาย กลุ่ม Millennials ที่มีถึง 9.65 ล้านคน และมีการใช้จ่ายสินค้าและบริการต่างๆ รวมกันสูงถึง 7.9 แสนล้านบาท ต่อปี

จากพฤติกรรมของผู้ชายกลุ่ม Millennials ที่มีความแตกต่างจากกลุ่มอื่น เช่น การไม่ยึดติดในแบรนด์สินค้า ชอบลองผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ตอบสนองความพึงพอใจ รวมถึง การสืบค้นเปรียบเทียบคุณภาพและราคาสินค้าผ่านสื่อโซเชียล ดังนั้นธุรกิจ SME อาจจำเป็นต้องนำเสนอ สินค้าหรือนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างจุดเด่นหรือความต่างจากคู่แข่ง รวมถึงการนำเสนอสินค้าและบริการ ด้วยคุณภาพและราคาที่สมเหตุสมผล คุ้มค่าคุ้มราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่ง รวมถึงพิจารณาขยายตลาด ไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งให้ความเชื่อมั่นต่อสินค้าและบริการด้านความงามของไทยค่อนข้างสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังมองอีกว่า ตลาดความงามโดยรวมกำลังเติบโตในตลาดประเทศไทย จากพฤติกรรมคนไทยที่หันมาดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกาย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ต่อสังคมภายนอก ซึ่งตลาดดังกล่าว เคยถูกครอบครองโดยผู้หญิง แต่ปัจจุบัน ด้วยทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับกระแสความนิยมในดารานักร้องต่างชาติ โดยเฉพาะเกาหลีและญี่ปุ่นที่เติบโตในไทย ส่งผลให้กลุ่มผู้ชายเองก็เริ่มให้ความสำคัญ เกี่ยวกับการดูแลภาพลักษณ์และบุคลิกภาพร่างกายที่ปรากฏต่อสังคมให้ดูดีเช่นเดียวกัน ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดความงามในส่วนของกลุ่มผู้ชาย เริ่มมีการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมีมูลค่าประมาณ 35,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดประเภทสินค้าและบริการที่สำคัญ ดังนี้

-สินค้าส่วนบุคคล เฉพาะสินค้าที่เกี่ยวกับการดูแลร่างกายของผู้ชาย (Men’s Grooming) จะมีมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยประมาณร้อยละ 6.4 ต่อปี (ปี 2557- 2561) โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเริ่มได้รับความนิยม และมีอัตราเติบโตสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ชายยุคใหม่มีการออกกำลังกายหรือมีกิจกรรมกลางแจ้งมากขึ้น ทั้งนี้ตลาดสินค้าส่วนบุคคลของผู้ชาย สามารถแยกออกได้ ดังนี้

1.1 ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในห้องน้ำและหลังการอาบน้ำมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 75.2 ของผลิตภัณฑ์เพื่อความงามผู้ชาย โดยผลิตภัณฑ์ดูแลผิว มีสัดส่วนมากที่สุดประมาณร้อยละ 46.4 ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมร้อยละ 31.6 ผลิตภัณฑ์ชำระร่างกายร้อยละ 15.9 และผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ร้อยละ 6.1 โดยตลาดนี้มีการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7.0 ต่อปี ในช่วงปี 2557-2561

1.2 ผลิตภัณฑ์โกนหนวด มีสัดส่วนร้อยละ 14.5 ของผลิตภัณฑ์เพื่อความงามผู้ชาย เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3.7 ต่อปี ช่วงปี 2557-2561

1.3 ผลิตภัณฑ์น้ำหอม มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 10.3 ของผลิตภัณฑ์เพื่อความงามผู้ชาย เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4.9 ต่อปี

ในช่วงปี 2557-2561 บริการเสริมความงาม อันได้แก่คลินิกเสริมความงามและคลินิกศัลยกรรม ที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความต้องการบริการความงามทางด้านการดูแลผิวหรือ Skin Care กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในเกือบทุกกลุ่มอายุ ทั้งวัยรุ่น วัยทำงานและผู้ใหญ่ จากความใส่ใจต่อบุคลิกภาพที่จะปรากฏต่อสังคม โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ตลาดบริการเสริมความงามทั้งที่ไม่ต้องใช้การผ่าตัดและที่ต้องใช้การผ่าตัดรวมในประเทศไทย มีมูลค่าสูงถึงประมาณ 65,000 ล้านบาท (มูลค่าตลาดเฉพาะคลินิก ไม่รวมบริการความงามจากโรงพยาบาล) ซึ่งในจำนวนนี้ คาดว่าเป็นสัดส่วนจากตลาดกลุ่มผู้ชาย ที่กำลังกลายเป็นลูกค้าที่มีบทบาทสำคัญในธุรกิจนี้ โดยมีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมธุรกิจที่เกี่ยวกับความงามผู้ชายในปี 2562 นั้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน จึงกระทบต่อตลาดสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับความงามพอสมควร เนื่องจากเป็นสินค้าและบริการกลุ่มฟุ่มเฟือย ที่สามารถลดหรือชะลอการใช้จ่ายออกไปได้ ทำให้ตลาดมีการเติบโตที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับการเติบโตที่สูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยสภาพตลาดสินค้าส่วนบุคคล คาดว่าจะยังคงมีการเติบโตในระดับร้อยละ 3-5 จากปกติ ที่เติบโตร้อยละ 6-7 ทั้งนี้เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งส่วนใหญ่ราคาสินค้าต่อหน่วยในแต่ละผลิตภัณฑ์ก็ไม่สูงมากนัก

ขณะที่ธุรกิจบริการเสริมความงามในปี 2562 คาดว่า การเติบโตจะอยู่ในระดับต่ำ หรือมูลค่าอาจทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน โดยคนไทยส่วนใหญ่เริ่มมีความระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายประเภทฟุ่มเฟือยเฉลี่ยต่อคนที่ค่อนข้างสูง บางกลุ่มจึงอาจลดความถี่ในการใช้บริการด้านความงามลง หรือบางส่วนชะลอการใช้จ่ายออกไป หากเป็นบริการความงามที่สามารถรอได้ ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ที่เข้ามาเพิ่มขึ้น ขณะที่ลูกค้ารายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นไม่มาก ทำให้เกิดการดึงลูกค้าระหว่างผู้ประกอบการด้วยกัน ทำให้บางรายต้องเพิ่มกลยุทธ์การตลาดส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะแพ็คเก็จราคาให้บริการ ที่เพิ่มเติมจากปกติเพื่อดึงลูกค้า ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อคนอาจปรับลดลง และการคืนทุนของธุรกิจมีระยะเวลานานขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าว เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการรายใหม่ โดยเฉพาะ SME ที่สนใจลงทุนด้านคลินิกเสริมความงามต้องประเมินและวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจลงทุนในช่วงนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ธุรกิจความงามอาจกลับมาเติบโตเป็นปกติ หากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชนกลับมาดีขึ้น ขณะเดียวกัน หากพิจารณาจากประชากรอายุระหว่าง 20-39 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มนักเรียนระดับมหาวิทยาลัย ไปจนถึงวัยทำงานที่อยู่ในช่วงระหว่างกลุ่ม Gen Y และกลุ่ม Gen Z หรือที่เรียกว่ากลุ่ม Millennials ซึ่งกลุ่มนี้มีความใส่ใจเกี่ยวกับบุคลิกภาพค่อนข้างมากกว่ากลุ่มอื่นๆ และมีกำลังซื้อและพร้อมใช้จ่ายกับสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจ โดยพิจารณาปัจจัยด้านราคาเป็นประเด็นรอง โดยพบว่ากลุ่มนี้มีจำนวนประชากรรวมกันถึง 19.13 ล้านคนหรือประมาณร้อยละ 28.8 ของประชากรทั้งประเทศ โดยจำนวนนี้แยกเป็นเพศชายประมาณ 9.65 ล้านคน ซึ่งพบว่ากลุ่มนี้มีค่าใช้จ่ายรวมทุกประเภทสินค้าและบริการรวมกันประมาณ 7.9 แสนล้านบาท/ปี3 จึงเป็นตลาดที่ยังคงมีความน่าสนใจ

สำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อมทางด้านเงินทุน และบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญสินค้าและบริการเกี่ยวกับความงาม ที่จับตลาดกลุ่มผู้ชาย มีการเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจและมีมูลค่าตลาดสูงถึงประมาณ 35,000 ล้านบาท ส่งผลให้มีผู้ประกอบการจำนวนมากที่สนใจเข้าสู่ธุรกิจ ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีตราสินค้าเป็นที่เชื่อถือ รวมถึงผู้ประกอบการ SME ที่เห็นถึงโอกาสทางการตลาด รวมถึงการใช้ประโยชน์จากการเติบโตของสื่อโซเชียลในการเข้าสู่ตลาด และสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ตราสินค้ามีชื่อเสียงได้มากขึ้น ทั้งในส่วนของการผลิตสินค้าดูแลร่างกาย รวมถึงการลงทุนคลินิกความงาม ซึ่งมีการเปิดขึ้นเป็นจำนวนมากในแต่ละปี เนื่องจากคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเรียนจบทางด้านความงาม บางส่วนกล้าที่จะลงทุนในธุรกิจและเป็นเจ้าของกิจการเอง รวมถึงผู้ประกอบการทั่วไป ที่มีเงินทุนและสนใจในธุรกิจนี้ และมีการเชิญแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญมาทำงานแบบพาร์ทไทม์