หลังจากได้เมล็ดพันธุ์เป็นจำนวนมาก ดร.ประดิษฐ์ จึงนำมาแปรรูปเป็นเมล็ดทานตะวันกะเทาะเปลือกจำหน่าย ซึ่งทำให้ผู้คนหันมาสนใจถึงคุณประโยชน์ และรสชาติของเมล็ดทานตะวันมากขึ้น จนสามารถพัฒนาธุรกิจขยายโรงงานผลิตเมล็ดทานตะวันอย่างจริงจัง ปัจจุบันภายใต้แบรนด์ฟลาวเวอร์ฟูด มีสินค้าธัญพืชจำหน่ายอย่างหลากหลาย อาทิ เมล็ดทานตะวันเคลือบช็อกโกแลต เมล็ดฟักทองอบเกลือ อัลมอนด์อบน้ำผึ้ง เป็นต้น
คุณพีระ พีระมาน ทายาทรุ่นที่ 2 รับช่วงบริหารฟลาวเวอร์ฟูด ในตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ เล่าถึง การเติบโตของฟลาวเวอร์ฟูดว่า ปีนี้ธุรกิจมีตัวเลขการเติบโตจากปี 2556 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ โดยมาจากสินค้าหลัก คือ ผลิตภัณฑ์เมล็ดทานตะวัน และสินค้าธัญพืชอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายวัตถุดิบธัญพืช อย่าง เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม งาดำ ส่วนตัวเลขของการส่งออกมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่าง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ คิดเป็นสัดส่วน 25 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด
สำหรับการทำการตลาดกับกลุ่มประเทศในอาเซียนนั้น ทายาทธุรกิจ บอกว่า ปัจจุบันการรับรู้สินค้าในตลาดอาเซียนฟลาวเวอร์ฟูดถูกมองว่าเป็นขนมมาโดยตลอด ซึ่งทางบริษัทกำลังปรับแผนการตลาดสร้างการรับรู้ใหม่ให้ลูกค้าทราบถึงคุณประโยชน์ที่แท้จริงของสินค้าธัญพืช เพื่อเจาะกลุ่มคนรักสุขภาพให้มากขึ้น ถือเป็นโอกาสการขยายตลาดให้กว้างขึ้น จากเดิมที่ลูกค้าติดในภาพลักษณ์ของขนมมาตลอดระยะเวลา 10 ปี แต่ถ้าสามารถบอกให้ลูกค้าทราบถึงคุณประโยชน์ที่แท้จริงได้ผลตอบรับจะดีมากขึ้นอีก
การเตรียมตัวในการทำการค้าในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้น คุณพีระ เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ ข้อมูลทางการตลาดของประเทศนั้นๆ ต้องทราบถึงความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศว่าต้องการสินค้าประเภทไหน เช่น อินโดนีเซีย ประเทศนี้ส่งออกช็อกโกแลตติดอันดับโลก แต่กลับไม่ได้รับความนิยมในประเทศ ซึ่งถ้าหากนำช็อกโกแลตเข้าไปขายแน่นอนว่าสินค้าขายไม่ได้ เป็นต้น และอย่ามองแต่เพียงว่าประเทศนั้น มีประชากรมากเพราะจำนวนประชากรไม่สามารถวัดผลยอดขายได้
ยกตัวอย่างเช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เป็นประเทศที่มีเกาะเยอะ การขนส่งสินค้าไม่ใช่เรื่องง่ายถึงแม้จะมีประชากรจำนวนมากก็จริง แต่การเข้าถึงของสินค้ายาก ซึ่งจะเกิดปัญหาด้านการขนส่งทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้น สินค้าได้กำไรน้อยหรืออาจทำให้ไม่ได้กำไรเลย ฉะนั้นจึงต้องดูสภาพแวดล้อมโดยรวม ทั้งพฤติกรรม กลุ่มเป้าหมาย การตั้งราคา เป็นต้น
“การทำการค้าในกลุ่มอาเซียนสำคัญที่สุด คือ การคุยธุรกิจให้กระจ่างในทุกเรื่อง เช่น ราคา สินค้าจะขายอย่างไร กลุ่มลูกค้าเป็นใคร ตลาดอยู่ที่ไหน ซึ่งการรับรู้ของลูกค้าที่จะนำสินค้าของเราไปจำหน่ายต่อนั้นเขาจะมองเป็นแค่ขนมเท่านั้น แต่ถ้าหากมีการแนะนำให้ทราบถึงกลุ่มเป้าหมายจะทำให้สินค้าขายได้มากขึ้น ซึ่งข้อนี้สามารถใช้ได้กับทุกประเภทธุรกิจ ทุกประเภทสินค้า ซึ่งจะต้องทราบถึงสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของเราก่อนว่าอยู่ในกลุ่มไหน เป้าหมายเป็นใคร นั่นจะสามารถทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้”
ในส่วนของแผนพัฒนาธุรกิจ คุณพีระ บอกว่ากำลังออกผลิตภัณฑ์ธัญพืชชนิดใหม่ออกมา คือ งาดำบดละเอียด จนเป็นเนื้อครีมสามารถรับประทานเป็นอาหารเสริมเจาะกลุ่มคนรักสุขภาพ คาดว่าสินค้าจะวางจำหน่ายภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับเป้าหมายธุรกิจในปี 2558 ให้มีสัดส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ และมียอดจำหน่ายสิ้นปี 600 ล้านบาท