โอกาสของคนตัวเล็ก

  • ติดต่อเรา
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อโฆษณา
Responsive image

“เมื่อใจเราคิดอย่างไร เรื่องก็จะเป็นอย่างนั้น” หลัก “Positive Thinking” ยุค “New Normal” ที่ควรนำไปใช้

ใครมองโลกมองโลกในแง่ดีหรือ “Positive Thinking” มักมีโอกาสดีกว่าคนอื่นเสมอ เมื่อมองทุกอย่างเป็นบวกก็ช่วยให้มีสุขภาพกายที่ดี สุขภาพจิตรที่ดี ความคิดโปร่งใส ทำอะไรก็ดูจะสบายใจกว่าคนอื่น นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มว่าจะมีอายุยืนยาวกว่าคนอื่นด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่สังคมเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงแบบ New Normal จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งหลายคนจำต้องปรับตัวและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด จนอาจมองโลกในแง่ลบสะสมมานานกลายเป็นเครื่องบั่นทอนกำลังใจหรือพลังงานด้านบวก ฉะนั้น เราจึงต้องปรับแนวคิดเสียใหม่ เพื่อวันนี้และพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

ข้อดีของคนที่มีความคิดเชิงบวก หรือ “Positive Thinking” อารมณ์จะไม่ค่อยแปรปรวน ไม่รู้สึกกระวนกระวาย คนที่คิดบวกมักจะมีสุขภาพดี มีความสุข ตามมาด้วยความสำเร็จและแน่นอนว่าใครๆก็อยากมีความสุข อยากมีความสำเร็จ และมีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ เขาเหล่านั้นยังอยากมองเห็นทุกเรื่องอย่างสบายใจ แต่ความจริงแล้วมันไม่ง่ายเท่าไรนัก เพราะการมองโลกในเชิงบวกมักจะเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็ไม่ใช่ว่าสร้างใหม่ไม่ได้

วันนี้ ชี้ช่องรวย จึงขอนำเอาเคล็ดลับมาฝากเพื่อให้คุณได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่ในแบบ New Normal ดังนี้ค่ะ

1.อารมณ์

ต้องรู้เท่าทันอารมณ์ของเราอย่างมีสติ เคยสังเกตตัวเองบ้างไหมคะว่าทำไม บางครั้งอารมณ์ดี บางครั้งก็อารมณ์ไม่ดี ซึ่งเราก็ต้องย้อนมาสังเกตว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้อารมณ์ไม่ดี คือ ต้องหาคำตอบว่าความอารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้นจากอะไรให้ได้

2.การกระทำ โดยสามารถแก้ไขอารมณ์ของเราด้วยวิธนี้ คือ

- ออกจากกรอบของตัวเอง ด้วยการเปลี่ยนแปลงและคิดนอกกรอบแบบเดิมๆ เพื่อจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และสิ่งใหม่ๆนั่นจะพาความสนใจให้เราพบตัวเองไปเรื่อยๆทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า

- ทำให้การกระทำนั้นทำให้เรารู้สึกว่า “พอ” ซึ่งจะทำให้เกิดผลต่อเนื่องในความคิดที่เรารู้สึกพอใจ และแปลไปเป็นความคิดทางบวก โดยแต่ละคนก็มีวิธีที่ต่างกัน เช่นใช้วิธีเตือนตัวเองด้วยการบันทึกบอกเล่าสิ่งที่เราทำ จดบันทึกในไดอารี่ นำกลับมาอ่านก็จะทำให้รู้สึกพอใจกับสิ่งที่เคยทำไปแม้บางช่วงจะมีอุปสรรคมาก แต่ก็สามารถแก้ปัญหาได้ ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ และเกิดความรู้สึกว่า เรามีการก้าวหน้าขึ้นมาก ซึ่งจะทำให้เกิดความคิดทางบวกได้

- มองถึงเรื่องอนาคต เพื่อหาว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะทำให้เกิดทั้งจินตนาการและวิธีการที่จะลงมือทำ ก็เหมือนกับเราซ้อมมือไว้ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ทำให้เราคิดได้รอบคอบมากขึ้น สิ่งดีๆและความสำเร็จก็จะตามมา

3.การรับรู้ คนที่คิดในทางลบ มักจะคิดถึงตัวเองในเรื่องเหล่านี้คือ

-การนำอดีตที่เคยผิดหวัง ล้มเหลว หรือความคิดในหัวว่า “เราไม่มีทางทำได้” มาตอกย้ำตัวเองนั่นคือขาดความมั่นใจ อย่าให้ความล้มเหลวในอดีตมีอิทธิพลในชีวิตมากจนเกินไป

-ปฏิเสธคนอื่นรอบข้าง โดยรู้สึกว่าคนอื่นคงดีใจเมื่อเราล้มเหลว ทำให้โอกาสที่จะร่วมมือทำงานหรือแชร์ความรู้สึกกับคนอื่นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ยอมรับความคิดและให้โอกาสตัวเองได้ทำงานร่วมกับคนอื่นบ้าง

-คิดว่าอะไรที่ไม่สำเร็จก็ไม่มีทางแก้ไขหรือไม่มีทางออกอื่นอีกแล้ว เช่นเด็กที่เอนทรานซ์ไม่ติด ก็ฆ่าตัวตาย ทั้งที่ความเป็นจริงเราก็สามารถเรียนในมหาวิทยาลัยเปิด หรือมหาวิทยาลัย เอกชนได้เหมือนกัน ทุกสรรพสิ่งย่อมสามารถแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้เสมออย่ามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดเดิมๆ

การวิเคราะห์ความคิดของตัวเอง จึงเป็นกลไกเบื้องต้นที่ช่วยให้เราบริหารอารมณ์ของตัวเองภายใต้เหตุผล และความถูกผิดได้ โอกาสที่จะคิดดีทำดีก็มีสูงขึ้น เหมือนโบราณสอนไว้ว่า ”เมื่อใจเราคิดอย่างไร เรื่องก็จะเป็นอย่างนั้น”

นอกเหนือจากเรื่องการวิเคราะห์ตัวเองและบริหารอารมณ์ให้ได้แล้ว อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการปรับสมดุลชีวิตของตัวเอง เพราะโลกนี้อาจไม่ยุติธรรมหรือสมดุลอย่างที่เราเคยคาดหวังเอาไว้ ซึ่งเราต้องเข้าใจธรรมชาติของมัน ดังนี้

1.ภายใต้สภาพแวดล้อมของสังคมที่มีการแข่งขันสูงเหมือนในทุกวันนี้ ความพยายามแค่ไหนก็อาจจะยังไม่พอเพราะเราไม่สามารถเดาได้ว่าเบื้องหน้าเรามีอุปสรรคที่ยากแค่ไหน (ไม่ว่ามันจะหนักแค่ไหนเราต้องบอกกับตัวเองว่าเราสู้ได้)

2.มนุษย์ถึงจะเก่งแค่ไหนก็ตาม ทุกคนต่างก็ถูกควบคุมด้วยเวลาที่มีจำกัดเหมือนกันหมด (เราจะต้องหาทางออกจากการถูกควบคุมนั้นให้ได้)

3.ต่อให้เราทุ่มเทและต่อเนื่องแค่ไหน ทุกคนมีชีวิตเดียวเท่ากันหมด (ชีวิตมีชีวิตเดียวแต่เราสามารถที่จะทำให้ชีวิตมีความยาวนานเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน)

ข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้ ที่เป็นอุปสรรคที่ทุกคนต้องยอมรับ และสร้างความพอดีให้เกิดขึ้น เหมือนรถไฟซึ่งอยากวิ่งได้ให้เร็วที่สุด แต่ถ้าเร็วเกินไปอาจตกรางได้ หรือช้าเกินไปก็อาจไม่ทันเวลา กลไกชีวิตก็เช่นกัน น้อยไปต้องบวก หากมากก็ต้องลบ เป็นความพอดีที่เราต้องเข้าใจที่จะต้องเรียนรู้ ว่าจะต้องทำเท่าไรจึงจะทำให้เกิดประโยชน์มากไปก็ไม่ดีน้อยไปก็ไม่ได้ผล ทุกอย่างนั้นขึ้นอยู่กับความคิดของตัวเองและการบริหารสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดผลสูงสุดความสุขก็เกิดขึ้นได้

ข้อจำกัดต่าง ๆ ของคนเรามีมากมายทั้งเวลา อายุ แต่อย่าปล่อยให้อารมณ์และความคิดของเรามาเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต ในเมื่อเวลามีน้อยนักก็ต้องรู้จักใช้ชีวิตให้สมดุล เพื่อกระตุ้นให้ชีวิตมีความสุข มีจินตนาการและมีพลังในการทำงานพร้อมกับดำรงชีวิตที่ดีกันต่อไป นี่แหละคือแนวทางการปรับตัวในยุค New Normal อย่างแท้จริง