โอกาสของคนตัวเล็ก

  • ติดต่อเรา
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อโฆษณา
Responsive image

ร้านค้า “ราคาเดียว” ขายหลักสิบหยิบกำไรหลักล้าน

นับแต่ตั้ง Daiso (ไดโซ) เข้ามาบุกเบิกตลาด “สินค้าดูแพง แต่ขายถูก” เจ้าแรกในไทยในปี 2546 นำคอนเซ็ปต์ร้าน 100 เยนจากญี่ปุ่นใน “ราคาเดียว” คือ 60 บาท จุดประทัดให้ร้านค้าปลีกอื่นๆ ใช้คอนเซ็ปต์เดียวกันนี้โดดเข้ามาในตลาด เฉพาะรายใหญ่ราว 15 แบรนด์ ตั้งแต่แบรนด์ญี่ปุ่นแท้ ไปจนถึงไทย จีน เกาหลี และมาเลเซีย ไม่นับรวมรายเล็กและแฟรนไชส์ สร้างตลาดมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี มีอัตราการโตต่อเนื่องปีละ 20-50%

คุณภาพที่เหนือราคา ดีไซน์และความหลากหลายของสินค้า ตลอดจนบรรยากาศภายในร้านขายความเป็น “เกาหลี- ญี่ปุ่น” ถือเป็นจุดขายที่แบรนด์ต่างๆ ใช้ไล่บี้กัน ตลาดนี้เติบโตเร็วก็จริง แต่เทรนด์ก็ไปเร็วเช่นกัน เพราะตัดสินใจซื้อง่าย ส่งผลให้ร้านค้าต้องมีการนำสินค้าใหม่ๆ เข้ามาหมุนเวียนเหมือน “Fast Fashion” และมีสินค้าพิเศษสร้างความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา

ปัจจุบัน “ร้านค้าราคาเดียว” พัฒนารูปแบบร้านเป็น “ไลฟ์สไตล์ช้อป” เพิ่มสินค้าเกรดพรีเมียมขึ้นไป มีสินค้าหลายแบบ ดีไซน์ที่เรียบง่าย จึงส่งผลกับรูปแบบการใช้เงินของผู้บริโภค เป็นการซื้อด้วยอารมณ์มากกว่าฟังก์ชั่นการใช้งาน

ใครเป็นใคร? ในสงคราม “ราคาเดียว” 

สินค้าเยอะเข้าไว้ เดี๋ยวขายได้เอง 

แม้วันนี้ที่คนไทยจะระวังเรื่องการใช้เงินก็ตาม แต่โดยเฉลี่ยแล้วร้านราคาเดียวจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการไม่ต่ำกว่า 5,000-10,000 คนต่อสาขา/ต่อเดือน ใช้จ่ายต่อครั้งไม่ต่ำกว่า 200 บาท ซึ่งหัวใจที่ทำให้ร้านราคาเดียวเติบโตและขยายได้รวดเร็ว คือ “สินค้าดูแพง แต่ขายราคาถูก” จัดร้านเรียกแขก คือ มองเห็นสินค้าใหม่ตลอด ดิสเพลย์สวยงาม เป็นระเบียบ และที่สำคัญไม่แพ้กันต้องมีสินค้า “หลากหลายให้เลือก” การมีสินค้าครอบจักรวาลอยู่ในร้าน เป็นการสร้างกำลังซื้อในกลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคคิดไม่ถึง หรือไม่เคยใช้มาก่อน ชี้ชวนให้ทดลองซื้อไปใช้แบบไม่กังวลเรื่องราคา ซึ่งไลน์สินค้าในร้านจะแบ่งเป็นหมวดใหญ่ๆ ประกอบด้วย

  • เครื่องเขียน 
  • อุปกรณ์กีฬา
  • เครื่องมือช่าง 
  • ของตกแต่งบ้าน
  • แก็ดเจต และอุปกรณ์ไอที
  • ของเล่น-ของขวัญ
  • อุปกรณ์ทำความสะอาด
  • เครื่องสำอางและสกินแคร์ 
  • เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก 
  • ของใช้ในครัวเรือน
  • เครื่องประดับ และสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น กระเป๋า รองเท้า 

ขาดทุนเพื่อกำไร..ยังไง?

กำไรจากธุรกิจนี้บอกเลยว่า ไม่สามารถคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์เป๊ะๆ ตายตัวได้ จะใช้วิธีการคำนวณแบบเฉลี่ย ต้นทุนโดยรวม เพราะสินค้านับหมื่นชิ้นในร้านต้นทุนมาไม่เท่ากัน ถูกบ้าง แพงบ้าง แต่ทั้งหมดต้องมาขายราคาเดียวเพื่อให้ลูกค้าซื้อได้อย่างไม่ลังเล ด้วยการลดสัดส่วนกำไรต่อชิ้นลงและทดแทนด้วยจำนวนสินค้าที่ขาย เรียกว่า “ยอมขาดทุน” ในสินค้าบางรายการเพื่อเป็นตัวเรียกลูกค้าเข้าร้าน ซึ่งจากพฤติกรรมการซื้อเมื่อลูกค้าเดินเข้ามาซื้อสินค้าจะไม่ได้ซื้อเพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่มักจะเลือกซื้อสินค้าหลายๆ อย่างติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วย ทำให้โดยรวมแล้วร้านค้าสามารถเอากำไรจากสินค้าบางรายการมาถัวเฉลี่ยได้

เรามาดูยอดขาย ปี 2562 แบรนด์ดังๆ กันดีกว่า เห็นขายราคาหลักสิบหลักร้อย แต่ยอดขายนี่พันล้านนะจ๊ะ

  • โมชิ โมชิ เจแปน Moshi Moshi 1,702,870,719.48 บาท
  • ไดโซ ซังเกียว (ประเทศไทย) Daiso 1,237,951,858.27 บาท
  • ไทย วัตต์ KOMONOYA 450,358,944.00 บาท
  • มินิโซ (ไทยแลนด์) MINISO 9,759,832.96 บาท

ข้อมูลจาก : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

“Me too U too” 60 บาท 6 เดือนคืนทุน 

หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน ให้กับร้านไฮเปอร์มาร์ทรายใหญ่ของไทยอยู่หลายปี ก็ถึงเวลาที่ “เอมอร โพธิ์ศรีทอง” จะสร้างธุรกิจของตัวเองแบรนด์ “Me too U too ร้านค้าปลีก ราคาเดียว

60 บาท” มีสินค้าครอบคลุมกลุ่มของใช้ภายในบ้านมากมาย อาทิ อุปกรณ์ทำความสะอาด ของใช้ในครัวเรือน เครื่องเขียน การจัดแต่งสวน ของตกแต่งบ้าน และสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ สินค้าจะเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน โดยจะเน้นไปที่การคัดสรรสินค้าคุณภาพให้ลูกค้าได้ความคุ้มค่ามากกว่าราคาที่ซื้อไป

ในขณะที่แบรนด์ส่วนใหญ่เลือกที่จะไปเปิดร้านห่ำหั่นกันตามห้างสรรพสินค้า และโมเดิร์นเทรด แต่เจ้าของแบรนด์ “Me too U too” เลือกเจาะกลุ่มลูกค้าตามชุมชนเป็นหลัก และขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ มีทั้งหมด 4 ไซส์ เรียงลำดับตามงบประมาณลงทุน

  • ไซส์ S 390,000 บาท 
  • ไซส์ M 590,000 บาท 
  • ไซส์ L 790,000 บาท 
  • ไซส์ XL 1,990,000 บาท 

นอกจากจะได้รับสินค้าและอุปกรณ์พร้อมเปิดร้านแล้ว Me too U too ทางบริษัทจะช่วยดูทำเลเปิดร้าน พร้อมอบรมเรื่องการขาย การจัดรูปแบบร้าน การสต็อกสินค้า และการลงพื้นที่ช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์หน้าร้านให้ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วแฟรนไชส์จะใช้เวลาคืนทุนประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ด้วยสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในทุกครัวเรือน สามารถทำกำไรต่อชิ้นได้ถึง 30 %

สินค้า “ถูก ดี มีสไตล์” แถมผลกำไรจากธุรกิจยังสูง คืนทุนใน 1 ปี แฟรนไชส์ “Me too U too” ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียว