ศูนย์รวมแฟรนไชส์น่าลงทุน

4 พฤติกรรมที่ทำให้ผู้ประกอบการ SME ขอ “สินเชื่อ” ยาก!


เชื่อว่าผู้ประกอบการรายเล็กส่วนใหญ่มีความต้องการที่อยากจะขยายธุรกิจแต่การขยายธุรกิจนั้นจำเป็นต้องมีเงินทุน ซึ่งการจะหาแหล่งเงินทุนคงหนีไม่พ้นการขอ “สินเชื่อ” จากสถาบันการเงิน แต่มีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถขอสินเชื่อได้ รู้หรือไม่ว่ามาจากเหตุผลอะไร วันนี้ ชี้ช่องรวย ได้นำ 4 พฤติกรรมที่ทำให้ผู้ประกอบการ SME ขอ “สินเชื่อ” ยาก! มาบอกกัน มาดูกันว่าจะมีอะไรบ้าง

1.ไม่เดินบัญชีธนาคาร

การที่ผู้ประกอบการมีเงินหมุนเวียนทางการค้าที่ไม่ผ่านระบบบัญชีธนาคาร บางครั้งก็หมุนเวียนในนามบุคคลอื่น หรือซื้อขายกันเป็นเงินสด ทำให้ธนาคารไม่เห็นปริมาณกระแสเงินสดที่หมุนเวียนเข้าออกจริงๆ ในธุรกิจ จึงเกิดความไม่มั่นใจว่าธุรกิจมีประวัติการรับและจ่ายเงินอย่างไรกันแน่ กลายเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

ดังนั้นผู้ประกอบการควรรับและจ่ายเงินผ่านทางบัญชีธนาคาร ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สาขา แต่สามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านทางออนไลน์บนมือถือได้แล้ว และหากคุณซื้อของเงินสด เมื่อได้รับเงินมาก็ควรรีบเอาไปเข้าบัญชีธนาคารอย่าเอาเก็บไว้ในลิ้นชัก เพราะนอกจากคุณจะได้เดินบัญชีแล้ว ยังป้องกันเงินหายได้อีกด้วย

2.ให้ข้อมูลไม่ชัดเจน

การไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลที่ครบถ้วนให้แก่ธนาคาร เช่น แหล่งที่มาของรายได้ไม่ชัดเจน ไม่มีเอกสารการค้าขายอ้างอิง ไม่ว่าจะเป็น บัญชีซื้อ บัญชีขาย สำเนาใบกำกับภาษี ใบสั่งซื้อ ใบเสร็จรับเงิน ซึ่งการให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนชัดเจนนั้นทำให้ธนาคารมีข้อมูลไม่เพียงพอในการพิจารณาสินเชื่อ

เพราะเอกสารเหล่านี้สนับสนุนที่มาของรายได้ธุรกิจ ว่าคุณค้าขายกับใคร ต้องรับและจ่ายเงินเมื่อไหร่ ซึ่งส่งผลกับความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจทั้งสิ้น ดังนั้นหากคุณมีแผนจะขยับขยายธุรกิจด้วยการขอสินเชื่อ ก็ต้องเก็บเอกสารทุกอย่างเอาไว้ให้ครบถ้วน ถือซะว่าเผื่อเหลือดีกว่าเผื่อขาด

3.ลงบัญชีขายน้อยกว่าความเป็นจริง

เป็นพฤติกรรมที่ผู้ประกอบการทำเพื่อประโยชน์ทางภาษี คือลงบัญชีขายน้อยกว่าที่ขายได้จริงๆ แล้วลงบัญชีซื้อตามจริงหรือสูงกว่าความเป็นจริง เพื่อให้รายรับน้อยกว่ารายจ่าย จะได้เสียภาษีน้อยกว่าความเป็นจริง แต่คุณรู้หรือไม่ว่า นั่นก็ทำให้ธนาคารเห็นผลประกอบการที่ไม่ใช่ของจริง ทำให้เป็นอุปสรรคในการขอสินเชื่อกับธนาคาร

4.นำเงินหมุนเวียนไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

ผู้ประกอบการมักจะคิดว่าไม่เป็นไร ก็เหมือนกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวา แต่การนำเงินหมุนเวียนของบริษัทไปซื้อสินทรัพย์หรือจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนตัวนั้นไม่ทำให้เกิดรายได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเพราะเงินหมุนเวียนคือเงินที่ไว้ใช้จ่ายในบริษัท เพื่อผลิตสินค้าขาย เป็นรายได้ให้ธุรกิจ

ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรแยกเงินบริษัทออกจากเงินส่วนตัวให้ชัดเจน เพราะการใช้เงินปนกันเช่นนี้อาจทำให้ธุรกิจประสบปัญหาขาดสภาพคล่องได้ในที่สุด นอกจากนี้ยังทำให้ธุรกิจต้องขอสินเชื่อเกินความจำเป็นที่แท้จริง ซึ่งผู้ประกอบการอาจจะไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อตามที่ขอ เพราะธนาคารมองว่าผู้ประกอบการมีสภาพคล่องเพียงพออยู่แล้ว