MAKRO โชว์ผลงานปี 2565 โดดเด่น ทำรายได้รวม 469,131 ล้านบาท พุ่งแรง 76.1% รับเศรษฐกิจและท่องเที่ยวฟื้นตัวหนุนยอดขายกลุ่มโฮเรก้าคึกคักบอร์ดเคาะจ่ายปันผลงวดสุดท้ายอัตรา 0.33 บาทต่อหุ้น
บมจ. สยามแม็คโคร (บริษัทฯ หรือ MAKRO) โชว์ผลการดำเนินงานปี 2565 เติบโตโดดเด่น ทำรายได้รวม 469,131 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 76.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกรับภาพรวมเศรษฐกิจและท่องเที่ยวฟื้นตัว ด้านบอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้าย 0.33 บาทต่อหุ้นเพื่อนำเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นต่อไป ส่วนไตรมาสแรกปีนี้ คาดเติบโตต่อเนื่อง จากแผนงานขยายสาขาและพัฒนาช่องทาง O2O ภาพรวมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงอานิสงส์จากโครงการช้อปดีมีคืน
นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจค้าส่งแม็คโคร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2565 เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจค้าส่งภายใต้แม็คโคร และธุรกิจค้าปลีกภายใต้โลตัสส์ ส่งผลให้มีรายได้รวม 469,131 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 76.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 266,367 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 7,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 6,973 ล้านบาท (ไม่รวมรายการกำไรทางบัญชีจากการรวมธุรกิจแบบขั้นที่เกิดจากการรวมธุรกิจค้าปลีกเข้ามาเมื่อตุลาคม 2564) ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายเพิ่มขึ้นเป็น 14.2% โดยมีปัจจัยมาจากการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว การขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่องและปรับรูปแบบสาขาให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการเติบโตของธุรกิจฟูดเซอร์วิสที่มีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มโฮเรก้า ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและจัดเลี้ยง อีกทั้งการวางกลยุทธ์เพิ่มยอดขายผ่านช่องทาง O2O (Online to Offline) เชื่อมต่อแต่ละช่องทางการจำหน่ายอย่างไร้รอยต่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างยอดขาย
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 จ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงาน
ปี 2565 ในอัตรา 0.51 บาทต่อหุ้น โดยเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2565 บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วในอัตรา 0.18 บาทต่อหุ้น คงเหลือที่จะต้องจ่ายอีก 0.33 บาทต่อหุ้น ซึ่งวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 28 เมษายน 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวของบริษัทฯ ยังมีความไม่แน่นอนจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นดังกล่าว นอกจากนี้ ยังเสนอต่อที่ประชุมดังกล่าวเพื่อขออนุมัติเปลี่ยนชื่อบริษัท จาก บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เป็น บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เพื่อสะท้อนภาพที่ชัดเจนของธุรกิจ ซึ่งครอบคลุมทั้งค้าส่ง และค้าปลีก รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์ค้าส่งเดิมคือ “แม็คโคร” (Makro) ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกยังดำเนินการภายใต้แบรนด์ “โลตัสส์” (Lotus’s) และบริษัทได้แจ้งเปลี่ยนชื่อย่อหลักทรัพย์ใหม่จาก MAKRO เป็น “CPAXT”
ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2566 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแผนงานขยายสาขาและพัฒนาช่องทาง O2O กำลังซื้อในกลุ่มธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกที่ปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รวมถึงได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการช้อปดีมีคืนส่งผลดีต่อการจับจ่ายใช้สอยที่คึกคักขึ้น นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังได้เข้าเป็นสมาชิกของดัชนี S&P Global The Sustainability Yearbook 2023 ในกลุ่ม Food & Staples Retailing ซึ่งเป็นดัชนีชั้นนำของโลกที่ใช้วัดผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ ยังคงตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจจำหน่ายอาหารสดและการพัฒนาช่องทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนเอสเอ็มอีและเกษตรกรรายย่อยเติบโตไปด้วยกันผ่านแพลตฟอร์มแห่งโอกาส