ศูนย์รวมแฟรนไชส์น่าลงทุน

จิตติพร จันทรัชExotic Food แบรนด์ไทยผงาดครัวโลก


คนทั่วไปจะคิด “หาไม่เจอไม่เป็นไร” แต่คุณจิตติพร บอกกับตัวเองว่านี่คือ “โอกาส” เขากลับเมืองไทยในปี 2542 เพื่อก่อตั้ง บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด วางแผนผลิตเครื่องปรุงรสพื้นฐานแบรนด์ Exotic Food เริ่มต้นจากสินค้า 20-30 รายการ จำพวกน้ำปลา กะทิ เครื่องแกง ซีอิ๊ว ซอสพริก น้ำจิ้มไก่ ฯลฯ และตั้งธงผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น

 

จากยอดขาย 10 ล้านบาทในปีแรกของการก่อตั้งบริษัท 15 ปีที่ผ่านไป เขายึดครองพื้นที่การขายไป 60 ประเทศ ยอดขายขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนจบที่ 608 ล้านบาทในปี 2556 ทะยานเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ mai ขยับฐานะเป็นบริษัทมหาชน ความสำเร็จเกิดขึ้นเพราะเขาเป็น “เจ้าแรก” ในตลาดต่างประเทศที่มีเครื่องปรุงรสไทยทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการมากถึง 250 รายการ

 

สร้างแบรนด์ Thai Pride เพื่อปลดล็อกนโยบาย 1 แบรนด์ต่อ 1 ประเทศของตัวเอง เพื่อขยายตลาดต่อในประเทศที่ 61 พร้อมแตกแบรนด์ Flying Goose เพื่อขายในตลาดเอเชีย นอกจากนี้ ยังมีสินค้าประเภทเครื่องดื่มด้วย ได้แก่ Coco Water, Aloe Water และ Goji Water โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมด บริษัทส่งออกเกือบ 100% แต่ในระหว่างเส้นทางการเติบโตก็มีอุปสรรคมากมายให้ผู้บริหารรุ่นใหม่ต้องฟันฝ่า

 

 

ธุรกิจคิดใหญ่ ใจต้องอดทน

“การนำสินค้าเข้าไปขายในซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้ผลิตอย่างเราจำเป็นต้องมีใบรับรองมาตรฐานต่างๆ GMP ในประเทศเราเทียบกับต่างประเทศถือว่าอนุบาล HACCP เป็นระดับไฮสคูล มาตรฐานที่ทางยุโรปให้การยอมรับคือ IFS และ BRC ผลิตภัณฑ์น้ำจิ้มไก่ บริษัทเราเป็นรายแรกของไทยที่ได้มาตรฐาน IFS และ HACCP เราพยายามทำทุกอย่างให้ได้มาตรฐาน พอทำได้ยอดขายก็เพิ่มขึ้น

 

ปีแรกๆ เราไปออกงานแฟร์แสดงสินค้าเยอะมาก ปีละ 10 งาน มีปีหนึ่งผมไปมา 15 ประเทศ เราพยายามไปทุกที่ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าที่ไหนจะขายได้ โชคดีได้ลูกค้า 2 รายใหญ่จากฮอลแลนด์และเยอรมนี มาติดต่อขอเป็นโค-เอเยนต์ นำสินค้าของเราเข้าไปในตลาดยุโรป ซึ่งปัจจุบัน 2 รายนี้ก็ยังเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเราที่ทำธุรกิจด้วยกันมาตั้งแต่ต้น

 

เราบอกลูกค้าตั้งแต่แรกว่าอยากจะนำสินค้าเข้าห้าง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีค่า Listing Fee แต่ผมไม่มีเงินจ่าย ตอนนั้นเราเป็นบริษัทใหม่ และเล็กมาก สิ่งที่ทำได้คือ ขายสินค้าให้ตัวแทนในราคาที่ดีที่สุด เพื่อให้เขาสามารถบวกค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียให้กับห้างในราคาขาย ปีแรกเราเริ่มต้นจากห้างเล็กๆที่มีสาขาน้อยๆ ก่อน พอขายดีก็ไต่บันไดไปขายบนห้างที่มีสาขามากขึ้นเรื่อยๆ เราขยายธุรกิจในลักษณะนี้อยู่ 7 ปี”

 

โอกาสทุนใหม่ ขยายธุรกิจ

โดยส่วนตัวของ คุณจิตติพร ชื่นชอบการลงทุนมาตั้งแต่เรียนไฮสคูลจากการเล่นหุ้นกระดาษ เขาขอให้คุณพ่อเปิดพอร์ตให้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มาตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งก็ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เมื่อบริษัทประสบความสำเร็จเกินคาด เขาจึงคิดนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai พลิกโฉมจากที่เคยค้าขายแบบ Family Business มานาน

 

“ก่อนหน้าที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ มีหลายองค์กรมาช่วยชี้แนะเรา เพื่อทำให้บริษัทมีความเป็นมืออาชีพตามมาตรฐานที่ได้ตั้งเอาไว้ ซึ่งผมอยากจะฝากถึง SME รวมถึงบริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่าว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเราจะสามารถระดมทุนจากการขาย IPO ซึ่งเป็นเงินทุนที่ค่อนข้างฟรีที่บริษัทหนึ่งจะได้มาครั้งเดียวในชีวิต อย่างเราได้เงินจาก IPO มา 154 ล้านเราสามารถใช้สร้างโรงงานใหม่ได้ โดยไม่ต้องกู้แบงค์ ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย

 

อีกอย่างก็จะได้คำว่า มหาชน เป็นนามสกุลต่อท้าย เป็นหนึ่งในกว่า 500 บริษัทจากทั้งประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มน้อยเท่านั้น หลังจากนี้บริษัทคุณจะได้รับความเชื่อถือขึ้นมาในระดับหนึ่ง เพราะกว่าคุณจะมายืนอยู่ ณ จุดนี้ ต้องผ่านการตรวจสอบเยอะมาก แต่ข้อดีคือ คุณโปร่งใส เครดิตเทอมก็ได้เพิ่มขึ้น สถาบันการเงินอยากจะเสนอวงเงินให้คุณ ทุกคนอยากทำธุรกิจกับคุณ ลูกค้าซื้อสินค้าของคุณก็จะรู้สึกดี”

 

คุณจิตติพร คาดว่ายอดขายของบริษัทปลายปีนี้จะเติบโตจากปีที่แล้ว 20-25% จากเดิมที่ตั้งไว้ 10-15% อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนกลยุทธ์การขายใหม่ โดยมีการสร้างทีมฝ่ายขาย ทีมการตลาดเพิ่มในช่วงเตรียมจะเข้าตลาด

 

อย่างไรก็ดี สำหรับปี 2558 เขาตั้งเป้าตัวเลขการเติบโตไว้เหมือนเดิมคือ 10-15% พร้อมกับเตรียมสร้างโรงงานใหม่ในไตรมาส 1 ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ เพื่อรองรับไลน์การผลิตน้ำจิ้มไก่ ซอสพริกและน้ำมะพร้าว และวางแผนที่จะส่งออกสินค้าไปเปิดตลาดในกลุ่มประเทศ AEC รับกระแสประชาคมอาเซียนด้วย