รวิศ ยอมเสียเวลาไปกับการรีออกาไนซ์องค์กรให้แข็งแรงตั้งแต่รากฐานอยู่ 2 ปี แล้ววางระบบการทำงานของบริษัทใหม่ รันระบบซึ่งเปรียบเสมือน ‘กระดูกสันหลัง’ ของบริษัท ด้วย SAP ซึ่งมี SME น้อยรายที่ใช้ระบบนี้ เข้ามาจัดการข้อมูลเชิงลึกได้ในทุกมิติ เช่น บอกได้ว่าพฤติกรรมการซื้อของลูกค้ารายนี้เป็นอย่างไร รวมทั้งคาดการณ์การสั่งซื้อหรือยอดขายในอนาคต
เมื่อระบบแข็งแรง เขาจึงหันมาลุยงานด้านการตลาดแบบคลุกวงใน พบว่าสินค้าของเขาขายตัวเองได้ แต่จำกัดวงอยู่ในกลุ่มผู้หญิงวัยกลางคนตามต่างจังหวัด ที่มีปัญหาผิวหน้ามัน หากไม่ทำอะไรเลย กลุ่มคนใช้สินค้าดั้งเดิมมีแต่จะล้มหายตายจาก เขาจึงขยับฐานลูกค้าให้มีอายุน้อยลงเพื่อขยายตลาด
แต่ปัญหาที่พบคือ เจนเนอเรชั่นใหม่ไม่รู้จักผงหอมศรีจันทร์ ทั้งภาพลักษณ์สินค้าก็โบราณ แต่รวิศก็ไม่ท้อ อาศัยโฆษณาทางโทรทัศน์ ทำให้ยอดขายของผงหอมศรีจันทร์กระเตื้องขึ้นมาได้บ้าง แต่ทว่าเมื่อสิ้นสุดการออกอากาศ ทุกอย่างก็เข้าอีหรอบเดิม
“ผมได้ข้อสรุปว่าการตลาดมันมีมากกว่าคำว่าโฆษณา เลยเริ่มสนใจการทำแบรนดิ้ง มีการเชิญที่ปรึกษาเข้ามาช่วย ตอนนั้นยอดขายไม่เยอะมาก แต่เราก็กล้าที่จะลงทุนแบบเกินตัว เพื่อที่จะค้นหาว่าแก่นแท้ของแบรนด์ที่แท้จริงของเราคืออะไร และต้องการจะก้าวข้ามจุดๆ นี้ไปให้ได้”
ระหว่างที่ รวิศ ค้นหา Brand DNA ของสินค้า เขาก็หาทางเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่ของประเทศไปด้วย และมองว่าร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่มีสาขาทั่วไทยตอบโจทย์ที่สุด เขาจึงตัดสินใจเข้าไปคุยกับทางซีพี ออลล์
ทั้งที่ ณ เวลานั้นบริษัทของเขายังเล็กมาก และไม่รู้ว่าสินค้าจะขายออกหรือไม่ แต่ผู้บริหารหนุ่มก็ขอโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ถึงวันนี้ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นก็ได้กลายเป็นหนึ่งในช่องทางการขายที่ใหญ่มากๆ ของผงหอมศรีจันทร์ ทำให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด จากยอดขายปีแรกที่เขามารับช่วงกิจการมีเพียง 30 ล้านบาท แต่ปี 2557 นี้ คาดว่าตัวเลขจะพุ่งไปที่ 300 ล้านบาท
เพราะทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ ที่ผ่านมาผงหอมศรีจันทร์มีการ “รีแบรนด์” อย่างต่อเนื่อง แต่สินค้าก็ยังไม่พ้นภาพความโบราณสักที เขาจึงทำการวิจัยตลาดครั้งใหญ่ และพบว่าผู้บริโภคชอบคุณภาพ แต่ไม่ชอบหน้าตาของมันเอาเสียเลย หยิบจับแล้วไม่รู้สึกภาคภูมิใจในแบรนด์
รวิศ ตัดสินใจลงทุนพลิกโฉมแบรนด์ครั้งใหญ่ นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา
“ผมไปคุยกับบริษัทแกะดำทำธุรกิจ ให้คุณประเสริฐช่วยวางกลยุทธ์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ที่เหลือเพียงคำว่า ‘ศรีจันทร์’ เราได้คนฝีมือดีที่สุดในแต่ละสาขาอาชีพมาร่วมกันเปลี่ยนภาพลักษณ์ จากผู้หญิงห่มสไบ เป็นผู้หญิงที่เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น อย่างคุณวินัยที่อยู่ B/U/G ก็ช่วยออกแบบแพกเกจจิ้งใหม่ โดยที่ยังคงรักษาเสน่ห์ ความภาคภูมิใจในแบรนด์ไทยไว้เหมือนเดิม”
เราจึงได้เห็น ศรีจันทร์ ออริจินัล และ ศรีจันทร์ ทานาคา โกลด์ ผลิตภัณฑ์พอกหน้าทั้ง สองตัวของศรีจันทร์ ได้รับการแต่งตัวใหม่บนชั้นวางขายสินค้า เมื่อชื่อแบรนด์ไม่ยึดติดกับคำว่าผงหอม
รวิศ ประเดิมออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่คือ ศรีจันทร์ Translucent Powder แป้งฝุ่นควบคุมความมันที่เขามั่นใจในคุณภาพ ทั้งยังปฏิวัติแป้งฝุ่น ด้วยการคิดฝาหมุนปิดที่ป้องกันแป้งหกระหว่างพกพา ส่วนพัฟก็เป็นพัฟที่ดีที่สุดจากญี่ปุ่น เทสต์ผ่านแล้วว่าใช้กับแป้งฝุ่นศรีจันทร์ได้ดี
“เราคิดค้นสูตรออกมาเยอะมาก ประมาณ 50-60 สูตร เพื่อให้แป้งฝุ่นของศรีจันทร์ชนะแป้งฝุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องควบคุมความมันที่ดีที่สุดในตลาด เราบอกทีม R&D ไปว่า ไปพัฒนาสินค้าที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องสนใจเรื่องต้นทุน เดี๋ยวทีมมาร์เก็ตติ้งจะหาวิธีขายเอง ซึ่งอาจจะกลับกับการทำงานของ R&D ส่วนใหญ่ ที่มีเรื่องคอร์สมาคุม เราเชื่อว่าการทำสินค้าให้ดี คุณภาพเกินราคา แม้เราจะได้กำไรน้อย แต่จะทำให้เรามีที่ยืนในตลาดระยะยาว นี่คือปรัชญาในการทำงานของเรา”
ภาพลักษณ์ใหม่ถูกเผยแพร่ไปตามสื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะภาพยนตร์โฆษณาทางทีวี ที่ได้มือหนึ่งอย่างคุณต่อ-ธนญชัย แห่ง phenomena มาช่วยกำกับทั้งสิ้น 3 ชุด สื่อสารบนแกนหลักคือ “ลดหน้ามัน” ตอกย้ำภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ในวงกว้าง ควบคู่ไปกับการขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าไปยังร้านวัตสันและบิวตี้สโตร์ พร้อมเตรียมจัดจำหน่ายสินค้าไปยังกลุ่มประเทศ CLMV
“Personal Branding ก็สำคัญ ในยุคของโซเชียลมีเดียที่เปิดโอกาสให้เราสร้างแบรนด์ให้กับตัวเองได้ง่ายๆ หรือแสดงให้โลกเห็นว่าคุณมีไอเดีย มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงอย่างไร ผมเองสร้างแบรนด์ให้ตัวเองผ่านเฟซบุ๊กเพจ ซึ่งมียอดไลค์เกือบแสน เป็นคอลัมนิสต์ให้นิตยสารหลายเล่ม และเขียนหนังสือ เป็นวิทยากรไปถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ในหลายๆ เวที สิ่งเหล่านี้นำพามาซึ่งโอกาส ซึ่งก่อนหน้านี้เรียกว่าแทบไม่มีเลย และมีส่วนทำให้ธุรกิจของผมเติบโต แต่หลายคนกลับละเลย ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย”
ปีหน้า รวิศ วางแผนไว้ว่าจะเดินหน้าเต็มกำลัง โดยเตรียมจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีกหลายตัว ภายใต้แบรนด์ ศรีจันทร์ ขณะเดียวกันก็แตกแบรนด์ใหม่ “sasi” ในกลุ่มเครื่องสำอางเป็น Brand Personalize Cosmetic ผลิตเครื่องสำอางให้กับสุภาพสตรี เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง
และเป้าหมายใหญ่ของเขา คือการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้ได้ภายในปี 2563 แต่หากผลงานในวันนี้ออกมาดี ก็อาจจะเร็วกว่านั้นก็เป็นได้ ซึ่งการเพิ่มทุนจะทำให้แบรนด์ศรีจันทร์ก้าวต่อไปได้ไกลถึง “ดวงจันทร์”