รายงานข่าวจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ดำเนินการวิเคราะห์สถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในรอบปี 2557 พบว่า สถานการณ์โดยภาพรวมปรับตัวดีขึ้น สะท้อนได้จาก GDP SMEs นับตั้งแต่ไตรมาส 1, 2 และ 3 แม้จะมีอัตราหดตัวลงร้อยละ 1.4, 0.7 และ 0.2 ตามลำดับ แต่เป็นการหดตัวในอัตราที่ลดลงต่อเนื่อง จึงกล่าวได้ว่าสถานการณ์ SMEs ปรับตัวดีขึ้น โดย GDP SMEs (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่ารวม 3.37 ล้านล้านบาท ซึ่งร้อยละ 57 มาจากการบริโภคภายในประเทศ ที่เหลือร้อยละ 43 มาจากการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนต่อ GDP ของประเทศ คิดเป็นร้อยละ 38.2 และคาดการณ์ว่า ไตรมาส 4 จะขยายตัวและมีค่าเป็นบวก ส่งผลให้ภาพรวมของปี 2557 GDP SMEs จะขยายตัวคิดเป็นร้อยละ 0.5
สรุปสถานการณ์ SMEs ปี 2557
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้สถานการณ์ SMEs ปี 2557 ปรับตัวดีขึ้น มาจากสถานการณ์ทางการเมืองมีเสถียรภาพและมีทิศทางชัดเจนขึ้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ทะยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการให้เงินช่วยเหลือชาวนา การสร้างการจ้างงานในชนบท การลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของหน่วยงานราชการ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือและส่งเสริมการลงทุนให้กับ SMEs ฯลฯ ซึ่งกระตุ้นให้การบริโภคภายในประเทศและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว ขณะที่สถานการณ์การท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น เห็นได้จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ ขยายตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นมา กอรปกับระดับราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญมีการฟื้นตัว ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลให้สถานการณ์ SMEs ไตรมาส 4 ขยายตัวเพิ่มขึ้นและมีค่าเป็นบวก
เมื่อพิจารณาด้านการค้าระหว่างประเทศของ SMEs ปี 2557 พบว่า การส่งออก (เดือนมกราคม-ตุลาคม) มีมูลค่า 1,607,939 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 8.49 และมีสัดส่วนร้อยละ 26.3 ของการส่งออกรวมทั้งประเทศ ตลาดหลักที่ SMEs ไทยส่งออกสินค้ามากที่สุด ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน มูลค่า 427,651 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.6 ของการส่งออกของ SMEs รองลงมาคือ จีน มูลค่า 191,656 ล้านบาท กลุ่มสหภาพยุโรป มูลค่า 167,029 ล้านบาท ญี่ปุ่น มูลค่า 158,145 ล้านบาท และสหรัฐอเมริกา มูลค่า 124,064 ล้านบาท ซึ่งการส่งออกไปทุกตลาดหลักขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสหภาพยุโรป ขยายตัวสูงสุดถึงร้อยละ 16.43 เนื่องจากมีการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่จะมีการยกเลิกให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (GSP) กับประเทศไทยในปี 2558 สินค้าที่มีการส่งออกสูงสุด ได้แก่
อัญมณีและเครื่องประดับ รองลงมาคือ พลาสติกและของทำด้วยพลาสติก เครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ ยานยนต์และส่วนประกอบ ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวสูงสุด ได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ
ส่วนการนำเข้าของ SMEs เดือน ม.ค.-ต.ค. มีมูลค่า 1,834,688 ล้านบาท หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.92 และคิดเป็นร้อยละ 29.4 ของการนำเข้ารวมของประเทศ ตลาดที่ SMEs นำเข้าสินค้าสูงสุด ได้แก่ จีน มูลค่า 497,722 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27.1 ของการนำเข้ารวมของ SMEs รองลงมา คือ ญี่ปุ่น มูลค่า 277,679 ล้านบาท กลุ่มประเทศอาเซียน มูลค่า 260,097 ล้านบาท กลุ่มสหภาพยุโรป มูลค่า 219,639 ล้านบาท และสหรัฐอเมริกา มูลค่า 110,730 ล้านบาท สินค้าที่ SMEs นำเข้าสูงสุด ได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ รองลงมาคือ เครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อัญมณีและเครื่องประดับ พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก เหล็กและเหล็กกล้า ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาด้านการจัดตั้งและยกเลิกกิจการในปี 2557 (เดือน ม.ค.-ต.ค.) พบว่า มีกิจการที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่จำนวน 51,725 ราย หดตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 13.79 ประเภทกิจการที่จัดตั้งใหม่สูงสุด ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป มูลค่า 5,473 ราย มีทุนจดทะเบียน 13,237 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดขายส่งเครื่องจักร และหมวดภัตตาคาร/ร้านอาหาร ตามลำดับ ส่วนการจดทะเบียนยกเลิกกิจการมีจำนวน 11,847 ราย ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7.02 ประเภทกิจการที่ยกเลิกมากที่สุด ได้แก่ หมวดกิจกรรมขายสลากกินแบ่ง มีจำนวน 1,286 ราย ทุนจดทะเบียน 478 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย และหมวดซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เพื่อพักอาศัย ตามลำดับ
คาดการณ์แนวโน้มปี 2558
ทั้งนี้ สสว. ประมาณการ SMEs (ณ เดือน ธ.ค. 2557) ภายใต้สถานการณ์ของประเทศในภาวะปกติ โดยคาดการณ์สถานการณ์ SMEs ปี 2558 มีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ภายใต้สมมติฐานในการประมาณการ SMEs ได้แก่ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 2.2
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวจากฐานเดิมที่ต่ำ นโยบายของภาครัฐที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทะยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การให้ความช่วยเหลือเกษตรกร การจ้างงานและสร้างรายได้นอกภาคเกษตร การเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน การลดอัตราภาษีสำหรับผู้ประกอบการ SMEs การจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ฯลฯ ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ กอรปกับเศรษฐกิจและการค้าโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวจะเป็นส่วนช่วยผู้ประกอบการ SMEs ทั้งในด้านการลดต้นทุน การสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ รวมถึงการเพิ่มอำนาจซื้อให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้สถานการณ์ SMEs ในปี 2558 มีการขยายตัวดีขึ้น
ตารางสรุปผลการประมาณการเศรษฐกิจ SMEs ปี 2558 (หน่วย : ร้อยละ)
ปัจจัยด้านอุปสงค์
|
2556
|
2557_f
|
2558_f
|
การบริโภคภาคเอกชน
|
0.3
|
0.2
|
4.6
|
การบริโภคภาครัฐ
|
4.9
|
3.5
|
2.4
|
การลงทุนภาคเอกชน
|
-2.8
|
-2.6
|
10.2
|
การลงทุนภาครัฐ
|
1.3
|
1.1
|
2.7
|
การส่งออกสินค้าและบริการ
|
4.2
|
1.0
|
4.0
|
การนำเข้าสินค้าและบริการ
|
2.3
|
-1.4
|
9.1
|
สต๊อคทุนของประเทศสุทธิ
|
2.5
|
2.0
|
2.5
|
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของ (GDP)
|
2.9
|
1.4
|
4.1
|
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของ SMEs (GDP SME)
|
3.8
|
0.5
|
5.4
|
กลุ่มธุรกิจเด่น-เฝ้าระวัง ปี 2558
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มจะเติบโตได้ดี เนื่องจากมีความต้องการในตลาดคู่ค้าสูง มีบทบาทในการเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ มีศักยภาพการแข่งขันทั้งในตลาดโลกและตลาดภูมิภาค รวมทั้งเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับกระแสโลก มีจำนวน 11 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะอุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์การแพทย์ ขณะที่การส่งออกมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 2.ธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วน เนื่องจากตลาดคู่ค้าสำคัญของไทยทั้ง เอเซีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เริ่มกระเตื้องขึ้น กอรปกับไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนในภูมิภาคอาเซียน ทำให้สินค้าในกลุ่มธุรกิจนี้มีโอกาสสูงโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
3.ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผลจากแนวโน้มของอาหารเพื่อสุขภาพ ความงาม และอาหารเฉพาะกลุ่ม (คนอ้วน คนป่วย ทารก และนักกีฬา) มีลู่ทางที่ดี 4.ธุรกิจการบริการด้านการศึกษา เนื่องจากมีการส่งเสริมการศึกษานอกระบบเพิ่มสูงขึ้น เพื่อรองรับการสร้าง Knowledge Economy 5.ธุรกิจด้านพลังงาน ผลจากต้นทุนมีทิศทางลดต่ำลง ขณะที่การลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนขยายตัว โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานทดแทนเนื่องจากกระแสความสนใจเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน 6.ธุรกิจภาคเกษตรกรรม เนื่องจากสามารถเชื่อมโยงการผลิตในกลุ่ม CLMV ตามการเปิด AEC และเป็นธุรกิจต้นน้ำของธุรกิจเกษตรแปรรูปอาหาร ยา และพลังงานทดแทน ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง 7.ธุรกิจก่อสร้าง เนื่องจากได้รับโอกาสจากการเปิด AEC ที่แต่ละประเทศมีการพัฒนาทั้งระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน งานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ขณะที่ภาครัฐของไทยมีการลงทุนพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ ฯลฯ
8.ธุรกิจการขนส่งและโลจิสติกส์ มีโอกาสเติบโตตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และการเปิด AEC ที่จะเชื่อมโยงการขนส่งมวลชนและสินค้าได้มากขึ้น 9.ธุรกิจท่องเที่ยว เนื่องจากการท่องเที่ยวของไทยมีศักยภาพการแข่งขันทั้งในตลาดโลกและตลาดภูมิภาค ที่สำคัญการเปิด AEC จะทำให้สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายท่องเที่ยวในกลุ่ม CLMV ได้ด้วย และผลจากการเมืองที่มีเสถียรภาพทำให้ทิศทางการท่องเที่ยวไทยสดใส 10.ธุรกิจการบริการด้านสุขภาพ ผลจากความตื่นตัวด้านสุขภาพ ด้านการชะลอวัย และโครงสร้างทางสังคมเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุ 11.ธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เนื่องจากนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิตอลของรัฐบาล จะสร้างความตื่นตัวในการพัฒนาระบบ IT และระบบ ICT ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงความต้องการจากตลาดต่างประเทศ
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มต้องระมัดระวังในปี 2558 ได้แก่ 1.ธุรกิจการผลิตยารักษาโรค ผลจากการที่ผู้บริโภคตื่นตัวด้านสุขภาพและมีแนวโน้มหันไปใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเพิ่มมากขึ้น 2.ธุรกิจการผลิตน้ำนมและผลิตภัณฑ์จากนม เนื่องจากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปจำกัดโควต้าการส่งออกน้ำนมดิบ ขณะที่ราคาขายน้ำนมดิบของผู้ค้ารายย่อยภายในประเทศตกต่ำลง 3.ธุรกิจการผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลจากมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศจีนซึ่งมีราคาต่ำกว่า 4.กลุ่มธุรกิจการทำอาหารแปรรูปทั่วไป เนื่องจากตลาดมุ่งเน้นไปยังสินค้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น เพื่อรองรับการกระแสการตื่นตัวด้านสุขภาพที่มาแรงในปีหน้า
CR : http://www.sme.go.th/th/