ใน Silicon Valley ประเทศสหรัฐอเมริกา คนกลุ่มนี้คือคนธรรมดากับไอเดียที่สามารถเปลี่ยนโลกที่เราอยู่ไปตลอดกาล และในตอนนี้ไม่ใช่เฉพาะแค่ในอเมริกาเท่านั้น มีคนแบบนี้อยู่ทั่วโลก เราเรียกพวกเขาว่า Tech Startup หรือสั้นๆ ว่า Startup นั้นเอง
Steve Blank ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้ประกอบการเคยกล่าวไว้ว่า Startup คือการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่กำลังอยากจะแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำซ้ำและขยายตัวเป็นรูปแบบธุรกิจDave McClure นักลงทุนรุ่นใหม่กล่าวเสริมว่าเมื่อใดที่ Startup สามารถตอบ 3 คำถามนี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว
1) สินค้า/บริการ ที่แท้จริงของเราคืออะไร
2) ใครคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา
3) เราจะหาเงินได้อย่างไรจากการทำสิ่งๆ นี้
เมื่อนั้นสถานะความเป็น Startup ก็จบลง และจะเริ่มเข้าสู่การเป็นธุรกิจอย่างแท้จริง
เทพนิยายของคนกลุ่มนี้ มักจะเริ่มต้นจากการรวมตัวกันในโรงรถ ทำอะไรเล็กๆ บางอย่างเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานบางกลุ่ม แล้วเติบโตขึ้นแบบพลิกฝ่ามือด้วยเงินลงทุนจาก Venture Capital ไม่ว่าจะเป็น Facebook และ Twitter ที่ขายเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือ IPO ไปแล้ว ผู้ก่อตั้งอย่าง Mark Zuckerbergและ Evan Williams ก็กลายเป็นอภิมหาเศรษฐีเสี่ยยุคใหม่ไปในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี รูปแบบการทำธุรกิจเปลี่ยนไปจากยุคก่อนแบบที่ไม่เคยมีใครคาดถึง
อย่างไรก็ตาม มีสถิติคร่าวๆ บอกต่อกันมาไว้ว่า 10 รอด 1 เท่านั้น นักลงทุนก็แค่หว่านเงินลงไปในโปรเจ็กส์ เขาสนใจ โดยหวังว่าถ้ามีสัก 1 บริษัททำสำเร็จ เขาจะได้ทุนคืนทบต้นทบดอก คุ้มกับอีก 9 บริษัทที่เจ๊งไป ซึ่งประเภทอุตสาหกรรมที่ทำเช่นนี้ได้ ต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องมีนวัตกรรมบางอย่าง ดังนั้นซอฟต์แวร์จึงเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพมากที่สุด เพราะสามารถทำซ้ำและขยายผลได้อย่างรวดเร็ว
พอดีผมได้มีโอกาสศึกษาหลักสูตรของ Sam Altman ประธาน Y Combinatorซึ่งเป็นศูนย์บ่มเพาะชั้นนำในอเมริกาจากเว็บไซต์ https://startupclass.co เลยลองสรุปออกมาแชร์ให้อ่านกันครับ
เริ่มแรกเลยก่อนที่จะลงมือทำ Startup เราควรตอบคำถามตัวเองให้ได้ก่อนว่าทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนี้ เพราะถ้าอยากรวย มีวิธีอื่นที่ทำให้รวยแบบแน่นอนกว่านี้ หรือถ้าอยากเท่ห์ก็มีอาชีพอื่นที่เท่ห์กว่านี้ หรือถ้าบอกว่าอยากสบาย ตอบได้เลยการเป็น Startup ชีวิตไม่ได้สบาย
มีเหตุบางอย่างที่ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่า “Startup รวย เท่ห์ ชีวิตสบาย” ซึ่งถ้าใครไม่ได้ทำจริงจัง ไม่รู้หรอกครับ ว่า Startup โหดกว่าที่ใครๆ คิดเยอะ การจะทำ Startup ต้องการ Passion อันแรงกล้า คล้ายๆ เราจะถูกดึงดูดด้วยปัญหาบางอย่าง และการลงมือทำของเราคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในโลกใบนี้เพื่อที่จะแก้ปัญหานั้น
Sam Altman กล่าวไว้ว่ามีปัจจัย 4 ด้านที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการเป็น Startup ได้แก่ เราจะต้องมี Great Idea, Great Product, Great Team, และ Great Execution
Great Idea
หลายปีมานี้เรามักได้ยินบ่อยๆ ว่า Idea Doesn’t Matter หรือไอเดียไม่มีค่าอะไรเลย ในวงเล็บว่าถ้าปราศจากการลงมือทำที่จริงจัง ดังนั้นเอาเข้าจริงทุกอย่างเริ่มต้นที่ไอเดีย เราต้องมีไอเดียที่ดีก่อน เพราะถ้าไอเดียแย่ไม่ต้องคิดเลยว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง และเราก็ไม่ต้องกลัวว่าถ้าคิดไปแล้วหรือนำเสนอไปแล้วจะมีใครมาลอกเลียนแบบ เพราะถ้ามันเป็นไอเดียของเรา เราหมกมุ่นลุ่มหลงกับมันจริงๆ จะมีแต่เราเท่านั้นที่ลงมือทำแล้วสำเร็จ ในทางตรงกันข้ามถ้าไอเดียนั้นไม่ใช่ของเรา มันก็จะไม่อยู่กับเรา
ไอเดียที่ดีต้องอธิบายออกมาได้ง่าย ถ้ามันยากที่จะเล่าให้คนอื่นฟังด้วยประโยคเดียว แปลว่ามันซับซ้อนเกินกว่าคนทั่วไปจะเข้าใจ และไอเดียที่ดีคือ ไอเดียที่ทำให้ทุกคนในทีมรู้สึกถึงภารกิจอันยิ่งใหญ่และอยากจะไปด้วยกัน ซึ่งสำหรับการทำ Startup แล้ว ไอเดียที่เราต้องการคือ ไอเดียที่ฟังแล้วดีในขณะเดียวกันก็ฟังแล้วงี่เง่าด้วย เพราะถ้ามันดีมากๆ คนอื่นเค้าทำไปหมดแล้วแหละครับ แต่ถ้ามันมีจุดที่บ้าบิ่นอยู่ ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่เป็นไปไม่ได้ นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นที่ดีของเรา
เพราะบางทีตอนนี้อาจมีแค่คนกลุ่มเล็กๆ ที่สนใจอยากใช้สินค้าของเรา แต่ถ้าเราสามารถยึดตลาดได้และขยายได้อย่างรวดเร็ว แปลว่าเราจะครอบครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ในอนาคตได้ นั่นแหละครับ ที่บางครั้งบางไอเดียดูเหมือนว่าไม่น่าสนใจ แต่เวลาผ่านไปมันกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
ดังนั้น วันนี้ถ้าเราบอกไอเดียใครแล้ว เขาบอกว่าเราบ้า นั่นแหละครับ ดีแล้ว เพราะเขาจะไม่แข่งกับเรา (Unpopular But Right!)