“มึงสู้จริงหรือเปล่า!” แต่หากใครได้ฟังแล้วถึงขั้นมีลูกฮึดต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนมุมมองการทำงาน การใช้ชีวิตของตัวเองใหม่ ทุกครั้งที่ได้ฟัง อ.สมคิด พูดถึงประวัติชีวิตของตัวเองผ่านงานสัมมนา รายการทีวี ในแต่ละช่วงอายุของ อ.สมคิด มักจะมีข้อคิดดีๆ เป็นเคล็ดลับความสำเร็จสอดแทรกอยู่เสมอ
สิ่งที่ อ.สมคิด เน้นย้ำอยู่เสมอผ่านตัวอักษรและคำพูด เหมือนกับพูดแต่เรื่องเดิมๆ ว่า “ชีวิตต้องมีเป้าหมาย” และตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้นปีละ 10 เท่า ไม่ใช่ปีละ 10% และต้องทุ่มเทให้มากกว่าผู้อื่นเป็นเท่าตัวอยู่เสมอ เพราะชีวิต “ที่ไม่มีเป้าหมาย” ก็เหมือนคนที่ทำงานแล้วหมดอาลัยตายอยากเอื่อยเฉื่อยไปวันๆ แต่หากเป้าหมายที่ตั้งเล็กเกินไป ทะลุเป้าได้ง่าย ความสำเร็จก็จะเดินมาอย่างช้าๆ ความร่ำรวยก็ไม่เข้ามาหาสักที
ตรงกันข้ามการตั้งเป้าหมายชีวิตก็ไม่ควรที่จะยากเกินกว่าจะไขว่คว้า ถ้าตั้งเป้าหมายแล้วทำไม่ได้ อย่างนี้จะหมดความมั่นใจ ดังนั้นขนาดของเป้าหมายต้องสมดุลกับระยะเวลา หลังจากตั้งเป้าหมายเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องลงมือทำทันที มิเช่นนั้น จะมีมารผจญมาคอยขัดขวาง ทำให้เราได้แต่ผลัดวันประกันพรุ่ง ท้ายที่สุดก็ไปไม่ถึงเป้าหมายเสียที
สิ่งสำคัญคิดตั้งเป้าหมายใหญ่ทั้งที ต้องกล้าที่จะประกาศให้โลกรู้ ให้คนรอบข้างได้เห็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเรา อนึ่ง คล้ายกับการสร้างแรงกดดันให้กับตนเอง ให้อย่าหยุดจนกว่าชีวิตจะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ และเมื่อบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วก็ต้องให้กำไรกับชีวิต อยากดื่มกาแฟ ก็หามาดื่ม อยากมีรถ ก็ซื้อรถ อยากมีบ้าน ก็ซื้อบ้าน เพิ่มรางวัลให้กับตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อครั้งต่อไปจะได้สร้างเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น
“กูจะทำอะไรก็ได้…บนโลกนี้…เพราะกูเก่งที่สุดในโลก!!”
ใครได้อ่านได้ฟังแล้วก็ดูเหมือนจะโอเวอร์ ใครจะไปทำได้จริง!! แต่นักพูดสู้ชีวิตผู้นี้ ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า หลักการของเขาสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง ขอเพียงแต่เรารู้จักหนทางที่จะทำให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จ หยิบปมด้อยของตนเองให้เป็น “เป้าหมาย” สร้างแรงขับให้กับชีวิต
เจ้าของวลีขี้โม้ ที่หลายคนแอบนึกอยู่ในใจ บอกว่า “เงินทองมีกองอยู่รอบกาย รอคนมีปัญญามาเอาไป หากต้องการหยิบจับเงินเหล่านี้ ต้องรู้จักที่จะหาหนทางที่ทำให้เราไปให้ถึง คนที่อยากจะรวย มักจะหาอ่านแต่หนังสือที่ทำให้ตนเองสร้างเนื้อสร้างตัว ส่วนคนที่เลือกอ่านแต่หนังสือซุบซิบดารา ชีวิตก็จะย่ำเท้าอยู่กับที่”
“ถ้าอยากจะเป็นเศรษฐี อย่าดูถูก ดูแคลนตนเอง เราไม่เก่ง เราไม่ดี เราทำไม่ได้ อนาคตมีอย่างเดียว คือ ชีวิตยากจน ล้มเหลว หายนะ”
กลับกันคนที่จะรู้จักสร้างแรงขับเคลื่อนให้กับตนเอง อ.สมคิด ก็มีวิธีสร้างแรงขับที่ไม่ยาก ให้เดินไปที่หน้ากระจกแล้วพูดกับตัวเองว่า “กูเก่งที่สุดในโลก ไม่มีอะไรที่กูทำไม่ได้”
หลักคิดแบบนี้อ่านแล้วเหมือนจะทิ่มแทงใจใครหลายคน แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งก็มีความสมเหตุสมผลอยู่ในตัว เพราะถ้าเรามัวแต่ดูถูกตนเอง คิดว่าทำไม่ได้ ท้ายแล้วก็จะก้าวเดินไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จไม่ได้