How to

5 เทคนิค Viral Marketing สร้างคอนเทนต์ดีให้ดัง ปังและโดน

Viral Marketing เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคโซเชียลมีเดีย เป็นการสร้างเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่น่าสนใจ น่าตื่นเต้น สร้างกระแสเพื่อให้เข้าถึงสายตาและความคิดของผู้ชมให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หากแบรนด์อยากทำแคมเปญขายสินค้าอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็มักจะใช้วิธีนี้ทำการตลาดในการโปรโมตและขายสินค้าได้มากขึ้น จะมีอะไรบ้างไปดู! 1.หาไอเดียสร้างสิ่งใหม่ การทำคอนเทนต์ที่ดีต้องมีไอเดียที่ใหม่ มีความแปลก แตกต่างถึงจะสร้างให้เป็นไวรัลดัง ๆ ได้ คุณอาจไปหาหนังดูสักเรื่อง ไปท่องเที่ยวที่ใหม่ ๆ ไปต่างประเทศ ไปเอาวัฒนธรรมอะไรบางอย่างที่อาจดูแปลจากวัฒนธรรมเรามาดัดแปลงทำเป็นกระแส หรือถ้าไม่อยากไปก็ลองหาไอเดียจากสื่อออนไลน์หรืออ่านหนังสือ อาจช่วยให้คุณหาไอเดียที่แปลกมาใช้งานได้ 2.เข้าใจฐานผู้ชมตัวเอง ก่อนจะทำการตลาดในรูปแบบใดก็ตามต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายตัวเองเป็นอย่างไร ทำความเข้าใจพวกเขาให้ลึกซึ้ง คอยดูว่าปัญหาและความต้องการของคนกลุ่มนี้คืออะไรบ้าง แล้วหาวิธีสร้างคอนเทนต์นำเสนอจูงใจเขาให้ดู ให้เขาถูกใจ พร้อมสอดแทรกวิธีแก้ปัญหาที่เขาเจออยู่เข้าไปด้วยก็ได้ ยิ่งกลายเป็นไวรัลเท่าไรยิ่งดี แบรนด์คุณจะมีภาพลักษณ์ทางบวกขึ้น ยอดขายก็อาจบวกตามไปด้วย 3.เล่าเรื่องกระตุ้นต่อมผู้ชม ผู้ชมมักชอบเรื่องราวที่น่าสนใจ เรื่องราวที่น่าค้นหา อาจเริ่มมาด้วยการตั้งคำถาม หรือสร้างสถานการณ์เรื่องราวที่ทิ้งปมไว้อย่างนึง ไม่รู้ว่ามันจะจบอย่างไร อาจทำเป็นหนัวสั้นเล็ก ๆ หรือคลิปถ่ายทั่วไปตรง ๆ เลยก็ได้ แต่มาโฟกัสที่เรื่องราวมากกว่าว่าจะเล่าอย่างไรให้คนติดตาม ที่สำคัญต้องกระตุ้นอารมณ์ผู้ชมให้ได้ด้วย ให้เกิดการแชร์ออกไปในวงกว้าง คิดเลยว่าอยากให้ผู้ชมรู้สึกอย่างไร หัวเราะ สนุกสนาน ตกใจ ชวนคิดตาม ประหลาดใจ หรือเศร้าอินไปกับเนื้อหา 4.สั้น กระชับ […]

7 ขั้นตอนคำนวณงบกำไรขาดทุน รู้ก่อนเก่งก่อน เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร

งบกำไรขาดทุน เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจในทุกประเภทต้องรู้ ดูเป็น ทำเป็น จัดการและควบคุมได้ เพราะธุรกิจจะไปต่อหรือพอแค่นี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีกำไรพอหรือไม่ หรือขาดทุนมากเกินไปหรือเปล่า มันจะช่วยให้ช่วยให้เจ้าของกิจการมองเห็นที่มาที่ไปของกำไร-ขาดทุนได้ชัดเจนขึ้น และสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์และวางแผนดำเนินธุรกิจต่อไปได้ หากคุณมีร้านอาหารต้องไม่พลาด! 1.คิดกำไรเบื้องต้นก่อน กำไรขั้นเบื้องต้นหาได้จากการสมการ (ยอดขาย-ต้นทุนอาหาร) ผลลัพธ์ที่ได้คือกำไรที่จะบอกได้ว่าการบริหารต้นทุนของร้านเราดีมากน้อยเพียงใด และโดยทั่วไปแล้วต้นทุนควรอยู่ประมาณ 30-35% ของยอดขายรวมทั้งหมด เช่น มียอดขาย 10,000 บาท ต้นทุนควรอยู่แค่ 3,000 – 3,500 บาทกำลังดี 2.คำนวณค่าแรง ดูว่าใรร้านตัวเองมีพนักงานอยู่เท่าไร นำค่าแรงของพนักงานทั้งหมด รวมไปถึงค่าล่วงเวลา เบี้ยขยัน ค่าเดินทางหรือสวัสดิการอื่น ๆ มารวมกัน เกณฑ์ที่ดีนั้นยอดรวมควรอยู่ที่ 20-25% ของยอดขายทั้งหมด 3.คำนวณค่าเช่าที่ ในส่วนนี้จะเป็นของคนที่ไม่มีทำเลร้านเป็นของตนเอง ต้องจ่ายค่าเช่าที่เป็นรายเดือนหรือรายปีตามแต่ตกลงกันมา ถ้าต้องการให้รายได้ไม่เหลือน้อยจนเกินไป ควรมีราคาค่าเชาที่อยู่ที่ 10-20% ของยอดขายก็พอ ใครไม่มีตรงส่วนนี้ก็สามารถนำไปพัฒนาด้านอื่นได้ 4.ค่าใช้จ่ายแฝง ทุกธุรกิจจะมีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่เสมอ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื่อมอุปกรณ์ต่าง ๆ ค่าทำความสะอาด […]

5 แหล่งเงินทุนสร้างเสริม SME สานฝันนักธุรกิจมือใหม่ ก้าวต่อไปไม่มีสะดุด

เงินทุน เป็นปัจจัยสำคัญแทบจะแรกสุดในการเริ่มต้นธุรกิจขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง เพราะต่อให้มีไอเดียหรือแผนการทำธุรกิจดีมากแค่ไหน แต่ถ้าขาดเงินไปก็ย่อมยากมากในการทำให้เป็นจริง วันนี้เราจะมาดูกันหน่อยว่า ถ้าอยากเริ่มธุรกิจแบบสบายใจ ไม่มีสะดุด หาเงินได้จากไหนบ้าง ไปดูกัน! 1.เงินเก็บตัวเองหรือครอบครัว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้ายังไม่อยากรบกวนใครก็รบกวนตัวเอง ลองดูว่าตัวเองมีเงินเก็บหรือไม่ ถ้ามีมีมากเท่าไร ให้หยิบออกมาใช้ส่วนหนึ่งแต่ต้องไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนจนเกินไป อย่าทุ่มเงินเก็บจนสุดตัว ให้เหลือไว้ยามฉุกเฉินด้วย แต่ถ้าตัวเองไม่มีหรือมีไม่พอ อาจลองพึ่งพาครอบครัวหรือคนในบ้านดู พ่อแม่ พี่น้อง เขาอาจช่วยเหลือเราได้ในยามที่ต้องการ แต่ต้องไม่พึ่งพามากจนเกินไป 2.โละของที่ไม่จำเป็น เชื่อว่าหลายคนคงมีทรัพย์สินอะไรบางอย่างในบ้านที่ไม่สามารถก่อให้เกิดรายได้ได้ และไม่รู้จะนำสิ่งนั้นทำอะไร อาจลองเอาของใช้ที่ไม่จำเป็นแล้วไปขายแล้วนำเงินตรงนั้นมาใช้ลงทุนในธุรกิจต่อได้ จะมากจะน้อยไม่เป็นไร แต่ถือว่าได้เงินกลับมาและได้โละของที่ไม่จำเป็นแล้วออกไป ลดภาระทางด้านพื้นที่ใช้สอยไปได้อีกด้วย 3.หาเงินจากภาครัฐ หน่วยงานรัฐบาลอย่าง สสว. บสย. ฯลฯ จะมีโครงการช่วยคนทำธุรกิจ SME โดยจะสนับสนุนทุนให้เปล่า โดยเปิดรับสมัครเจ้าของธุรกิจเข้ามาเสนอแผนธุรกิจในโครงการต่าง ๆ และเขาจะพิจารณาว่าธุรกิจนั้นสามารถสร้างนวัตกรรมหรือสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้เท่าไร ดังนั้นต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อนำเสนอแผนธุรกิจ หากได้รับการคัดเลือก อาจจะต้องรอการอนุมัติเงินสดภายใน 3-6 เดือน จึงควรเตรียมเงินสำรองฉุกเฉิน เพื่อให้ธุรกิจไม่หยุดชะงัก 4.หาหุ้นส่วน วิธีจะเป็นการจับกลุ่ม อาจเป็นเพื่อนสนิทที่สนิทมากและสนใจในเรื่องธุรกิจเดียวกัน นำเงินของทั้งสองฝ่ายมาลงทุนเปิดธุรกิจร่วมกัน แบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์กันให้เรียบร้อย เพื่อกันการหักหลังหรือเอาเปรียบซึ่งกันและกัน 5.กู้ธนาคาร […]

5 วิธีรับมือเวลาลูกค้าร้องเรียน จัดการอย่างมืออาชีพ ไม่กระทบกับธุรกิจ

ทุกธุรกิจมักจะเจอเหตุการณ์ “ลูกค้าร้องเรียน” ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งบ้างอยู่แล้ว เพราะเราคงไม่สามารถสร้างความประทับใจและความพึงพอใจได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ทั้งหมด และข้อดีคือเราจะได้รู้ว่าธุรกิจเรายังบกพร่องตรงไหน ยังขาดอะไร มีการสื่อสารอะไรผิดพลาดหรือไม่ ต่อมาก็มาคิดต่อยอดว่าเวลาเกิดข้อร้องเรียนมา เราจะทำอย่างไรไม่ให้กระทบธุรกิจ แก้ปัญหาลูกค้าได้ ขายสินค้าได้ต่อไป จะมีวิธีอะไรบ้างไปดู! 1.รับฟังปัญหาอย่างตั้งใจ เราจะแก้ปัญหาไม่ได้ถ้าเราไม่ฟังปัญหาที่เกิดขึ้น ธุรกิจต้องเป็นผู้ฟังที่ดีก่อนเสมอ ให้ลูกค้าได้เล่าความอัดอั้นตันใจที่อยากระบายให้ครบ และพยายามใช้คำพูดที่เหมาะสม ไม่ใช้อารมณ์ตอบโต้เพื่อให้เรื่องมันแย่ลงไปอีก แล้ววิเคราะห์เบื้องต้นว่าปัญหาคืออะไรกันแน่ 2.พูด “ขอโทษ” อยู่เสมอ ไม่ว่าธุรกิจเราจะผิดจากความผิดพลาดหรือผิดที่เกิดจากความเข้าใจผิดของลูกค้า เราก็ต้องขอโทษไว้ก่อนเพื่อให้ลูกค้าอารมณ์ดีขึ้น ใจเย็นลง อย่างน้อยลูกค้าจะได้รู้สึกว่าทางธุรกิจรับฟังเขา ใส่ใจ และพร้อมแก้ปัญหาให้เขา 3.ตรวจสอบและแก้ไข เมื่อได้รับข้อร้องเรียนแล้วก็มาในส่วนของทีมงานที่จะต้องตรวจสอบดูว่าปัญหาเกิดจากอะไร ถ้าเป็นสินค้าก็ต้องมาดูว่าในล็อตเดียวกันนั้นมีปัญหาแบบเดียวกันหรือไม่ ถ้าเป็นการบริการก็ต้องตามตัวบุคคลที่ลูกค้ามองว่าทำให้เกิดปัญหามาพูดคุยสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น และเมื่อรู้ถึงสาเหตุแล้วก็หาทางแก้ไขอย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อความสบายใจของทั้งลูกค้าและตัวธุรกิจเอง 4.ติดตามผลหลังแก้ปัญหา เมื่อแก้ปัญหาเสร็จแล้วไม่ใช่จบแล้วจบเลย ให้ติดตามผลกับลูกค้าด้วยว่าที่แก้ปัญหาไปนั้นตรงจุดหรือไม่ พอใจหรือไม่ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจในการแก้ไขปัญหาและทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ 5.หาวิธีป้องกันเกิดเหตุซ้ำรอย หากปัญหาเป็นที่ตัวสินค้าต้องมาเช็กว่าเป็นที่ซัพพลายเออร์หรือไม่ หากปัญหายังคงมีอยู่ก็ควรเปลี่ยนไปหาเจ้าใหม่ หากเป็นที่การผลิตของทางแบรนด์เองก็ต้องไปตรวจสอบวิธีทำหรืออุปกรณ์ว่ามีการบกพร่องจุดใด แต่หากเป็นเรื่องของการบริการก็ต้องมีการอบรมพนักงานมากขึ้น สร้างแบบแผนในการบริการที่ชัดเจนและเป็นระบบเพื่อง่ายต่อการบริการลูกค้า ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ : คลิก ติดตามบทความ How to ที่น่าสนใจได้ที่ : […]

5 เทคนิคสร้าง CRM เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายทั่วไป ให้เป็นลูกค้าคนสำคัญ

CRM หรือ Customer Relationship Management system เป็นระบบหรือกลยุทธ์การจัดการให้ทุกปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นแบบเฉพาะตัวและมีความหมายกว่าเดิม ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคและแบรนด์ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เพราะผู้บริโภคตระหนักถึงคุณภาพและประสบการณ์ที่ตนควรได้รับมากขึ้น ทางแบรนด์ก็จำเป็นต้องมอบประสบการณ์และความพึงพอใจให้ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดีกว่าคู่แข่งให้ได้ 1.ค้นหากลุ่มเป้าหมาย ก่อนจะเริ่มทำการตลาดหรือทำธุรกิจ ก็ต้องมาหากลุ่มเป้าหมายก่อนว่าสินค้าที่ตัวเองชอบหรือถนัดนั้นเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายใด กลุ่มอาชีพใด อายุและรายได้เท่าไร เพื่อง่ายต่อการโฟกัสการทำการตลาดมากยิ่งขึ้น 2.สร้างการรับรู้ของแบรนด์ การจะเข้าถึงลูกค้าก็ต้องทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์เสียก่อน ต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจตนเองอยู่ในกลุ่มไหน และคนกลุ่มนั้นมักจะใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียอะไร ถ้าเป็นวัยผู้ใหญ่ถึงกลางคนอาจต้องใช้ช่องทาง Facebook เป็นหลักในการนำเสนอแบรนด์ตนเองไปสู่หน้าจอมืถือกลุ่มเป้าหมาย ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่หร่อยอาจใช้ Instagram หรือ TikTok ในการทำการตลาด 3.สร้างลูกค้าจากกลุ่มเป้าหมาย ต้องเข้าใจก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราเล็งไว้ใช่ว่าจะเป็นลูกค้าของเราทุกคน ต้องมาดูว่าคุณสมบัติหรือคุณลักษณะบางอย่างของลูกค้าเราเป็นแบบใด ข้อมูลทั้งหมดนั้นต้องไปอยู่ในมือของตัวแทนขาย เขาจะได้รู้ว่าต้องดึงลูกค้าแบบไหนให้มาซื้อสินค้าที่ร้าน หากดูเหมือนว่าเป้าหมายมีโอกาสซื้อ ตัวแทนขายต้องสามารถสร้างความไว้วางใจจนเกิดการซื้อ อาจส่งกรณีศึกษา รีวิวการใช้ เคสต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจซื้อ และแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่อาจโน้มน้าวให้เป้าหมายตัดสินใจ 4.บริการถึงใจ จุดชี้ชะตาหลายธุรกิจมาอยู่ที่ข้อนี้ เราย้ำเสมอว่าการบริการก็เป็นสิ่งสำคัญไม่ด้อยไปกว่าคุณภาพของสินค้า เพราะนอกจากอยากได้ของดีไปใช้แล้ว ลูกค้ายังอยากได้ความพึงพอใจกลับไปด้วย เมื่อคุณทำให้กลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าได้แล้วก็จำเป็นต้องรักษาลูกค้าเอาไว้ให้ได้ แล้วจะทำอย่างไรให้ลูกค้ากลับมาซื้ออยู่เรื่อย ๆ การบริการที่ดี ใส่ใจ ถูกใจจากการบริการคือคำตอบ 5.กระตุ้นการขาย เมื่อคุณมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว […]

5 วิธีเพิ่มยอดขายด้วย USP เจาะกลุ่มลูกค้า เข้าถึงผู้บริโภค

USP หรือ Unique Selling Point เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้สินค้าและบริการของแบรนด์ โดดเด่นกว่าคู่แข่ง แตกต่าง เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น โดยจะต้องรู้ว่า สินค้าเรามีอะไรเป็นจุดขายที่ทำให้ลูกค้าอยากซื้อหรือเลือกใช้บริการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณได้กำหนดทิศทางในการวางแผนทางการตลาดให้ดีขึ้น มีอะไรบ้างไปดู! 1.ใช้การโฆษณา การโฆษณา เป็นวิธีการดั้งเดิมและยังได้ผลอยู่เสมอ สามารถโน้มน้าวใจให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคล้อยตามและการความสนใจในการเลือกซื้อสินค้าและบริการได้ ลูกค้าจะได้รู้ว่าจุดขายหรือจุดเด่นของสินค้าแบรนด์เราอยู่ตรงไหน ซึ่งการโฆษณาสามารถทำได้ผ่านช่องทางทีวี โปสเตอร์ เว็บไซต์ ช่องทางโซเชียลมีเดียออนไลน์ต่างๆ ลูกค้าจะสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารของแบรนด์ได้ไวและง่ายขึ้น 2..ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย โซเชี่ยลมีเดียเข้ามามีบทบาทมหาศาลมากในการทำธุรกิจยุคปัจจุบัน จากที่โพสต์จุดเด่นของสินค้าไม่ว่าจะในรูปแบบข้อความ รูปภาพหรือสิดิโอทั้งสั้นและยาว จะช่วยสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้า และลูกค้าสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับทางแบนด์ได้ผ่านการคอมเมนต์หรือการทักข้อความได้อีกด้วย หลายบริษัทก็มักใช้ช่องทางนี้เป็นหลักเพราะเข้าถึงลูกค้าง่ายมากและประหยัดต้นทุนไปพอสมควร 3.ทำคอนเทนต์ การแข่งขันทางธุรกิจอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนอกจากแข่งกันทำสินค้าที่มีคุณภาพแล้ว ยังมีการแข่งกันทำคอนเทนต์เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับสิค้าอีกด้วย เพราะคอนเทนต์ คือ การสื่อสารที่ทำให้ลูกค้าเข้าใจภาพรวมต่าง ๆ ของแบรนด์และสินค้า รู้ว่าแบรนด์ทำอะไร ทำเกี่ยวกับอะไร สินค้ามีอะไรบ้าง ใช้งานอย่างไร ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากน้อยเพียงใด 4.Digital Marketing การสื่อสารจุดเด่นของสินค้าโดยทำงานคู่กับการทำการตลาดแบบดิจิทัลจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อแบรนด์มากขึ้น เพราะสามารถทำการโฆษณาผ่านทางอีเมล บทความ เว็บไซต์ได้ ซึ่งจะช่วยให้สินค้าและบริการของเราเข้าไปถึงหน้าจอโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ของลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งยังสามารถเก็บสถิติข้อมูลตัวเลข การเข้าถึง การคลิก ระยะเวลาที่อยู่ในเว็บไซต์ว่าลูกค้าอยู่นานเท่าไร […]

5 วิธีสร้างแผนการสืบทอดตำแหน่งในธุรกิจ สร้างความก้าวหน้า สานต่องานหลัก

การวางแผนสืบทอดตำแหน่ง เป็นการระบุตัวผู้มีความสามารถในบทบาทสำคัญ ตามตำแหน่งงานที่ว่างหรือบทบาทผู้นำองค์กร เพื่อเตรียมตัวให้เขาเหล่านั้นพร้อมกับความก้าวหน้าในตำแหน่งระดับสูง ทั้งนี้การแทนตำแหน่งกันนั้นถือว่าท้าทายไม่น้อย 1.ระบุกลุ่มงานและบทบาทงานนั้น ๆ การทดแทนตำแหน่งจำเป็นจะต้องจัดบทบาทของงานต่าง ๆ แยกออกเป็นกลุ่มเพื่อระบุงานที่สำคัญด้านกิจการองค์กร เช่น จะเกิดผลกระทบอะไรบ้างหากสูญเสียพนักงานในกลุ่มงานเหล่านี้? ทรัพยากรหรือผู้ที่มีทักษะเหล่านี้ขาดแคลนในตลาดหรือไม่? พนักงานเหล่านี้จะเป็นผู้ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในอนาคตหรือไม่? ทำทุกอย่างให้ชัดเจนและไปสู่กระบวนการต่อไป 2.กำหนดคุณลักษณะที่จำเป็นในตำแหน่งงานเหล่านั้น ต่อไปต้องมีการกำหนดคุณลักษณะที่ควรมีในการปฏิบัติงานตามตำแหน่ง เช่น ทักษะ ความสามารถ ความรู้เชิงลึก ประสบการณ์ และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่ทางบริษัทกำหนดหรือต้องการ 3.หาคนมีความสามารถพร้อมการประเมิน การหาคนที่ใช่กับตำแหน่งงานจำเป็นต้องดำเนินการคัดพนักงานที่เข้าข่ายให้มาอยู่ในกลุ่มตัวเลือก ประกอบการพิจารณาเลือกผู้สมควรสืบทอดในแต่ละตำแหน่ง ผลตอบรับและข้อเสนอแนะจากการพิจารณาทบทวนอย่างรอบด้าน ผลงานตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมา ความสมัครใจในการเลื่อนขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูง ความเสี่ยงที่จะสูญเสีย รวมไปถึงผลกระทบจากการสูญเสีย 4.มอบหมายให้ทีมติดตามความคืบหน้า เมื่อดำเนินการตามขันตอนต่าง ๆ แล้ว ต้องมอบหมายภารกิจให้แก่สมาชิกในทีมในเป็นผู้ช่วยเหลือกลุ่มพนักงานที่ได้รับคัดเลือก และคอยติดตามความคืบหน้าในการทำงานของทีม 5.ทบทวนศักยภาพและความพร้อมเป็นระยะ ต้องมีการประเมินความพร้อมของพนักงานที่จะเข้าดำรงตำแหน่งใหม่อยู่เสมอ การดำรงตำแหน่งใหม่อาจเสี่ยงอยู่ในภาวะเสี่ยงหากความพร้อมของผู้สืบทอดเกิดช้ากว่ากำหนดเวลาตามแผน เช่น รองประธานฝ่ายขายในองค์กรของคุณกำลังจะเกษียณอายุในอีก 6 เดือนข้างหน้า แต่พนักงานในกลุ่มผู้สืบทอดใช้เวลาเตรียมตัว 2 ปีจึงจะพร้อมรับตำแหน่งดังกล่าว ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ : […]

5 วิธีเปิดร้านค้าออนไลน์ เริ่มทำง่าย ได้ผลดี เห็นผลเร็ว

ร้านค้าออนไลน์ กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในหมู่คนยุคใหม่ หัวใจทันสมัย ด้วยยุคนี้เป็นยุคดิจิทัลแทบ 100% แล้ว และการทำร้านบนโลกออนไลน์ก็สามารถสร้างรายได้ได้ดี ไม่ต้องมีหน้าร้าน ต้นทุนน้อยกว่าการทำร้านจริง และเริ่มได้เลยผ่านโทรศัพท์มือถือแค่เครื่องเดียว จะมีขั้นตอนอะไรบ้างไปดูกัน! 1.หาสินค้าที่ตัวเองชอบมาขาย จะขายสินค้าอะไรก็ตามก็ต้องเริ่มจากสินค้าที่ตัวเองชอบและรู้สึก รู้จริงกับสินค้านั้น ๆ หากคุณอยากขายเสื้อผ้า ก็ต้องรู้ว่าเสื้อผ้าแบบไหนกำลังเป็นกระแส เสื้อผ้าไหนกำลังเป็นที่นิยม หรือเสื้อผ้าไหนเหมาะกับการใส่ในฤดูกาลนั้น ๆ หรือใส่ได้แบบ Every Day Look ยิ่งตอบโจทย์ความต้องการของตลาดมากเท่าไรก็เตรียมขายดีได้เลย 2.หาแหล่งซื้อสินค้าดี ๆ ซัพพลายเออร์เป็นตัวแปรที่สำคัญไม่น้อยในการทำธุรกิจ ถ้าสินค้าเขาแย่ก็จะทำให้ร้านของเราแย่ลงตามไปด้วย ควรหาแหล่งซื้อที่เป็นขายราคาส่งเพื่อทำให้ต้นทุนของเราต่ำลงหรือควบคุมงบประมาณได้ง่าย หรือคุณจะหาแหล่งที่เป็นโรงงานผลลิตเองเลยก็จะดีมาก แต่ที่สำคัญคือคุณควรไปดูสินค้าด้วยตัวเองเพื่อคัดเลือกสินค้าคุณภาพเท่านั้นที่จะขายในร้านบนโลกออนไลน์ของเรา 3.ตั้งชื่อร้าน ทำร้านค้าทั้งทีจะไม่มีชื่อก็คงไม่ใช่ ข้อนี้ก็เหมือนการทำธุรกิจทั่วไปคือ ต้องมีชื่อ มีโลโก้ มีอัตลักษณ์และเอกลักษณ์เฉพาะที่สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มาซื้อสินค้าจากร้านเราได้ ยิ่งสะดุดตา น่าสนใจมากเท่าไร การค้นหาหรือความอยากซื้อของลูกค้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น หากสินค้าและการบริการเราดีจริงก็มีกลับมาซื้อซ้ำอย่างแน่นอน 4.หาแพลตฟอร์มที่เหมาะสมในการขาย ทุกวันนี้มีหลายแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมากที่สามารถไลฟ์ขายของ ขายสินค้าออนไลน์ได้ เช่น Facebook, Instagram หรือ TikTok ก็ต้องมาดูว่ากลุ่มฐานลูกค้าตัวเองอยู่ในแพลตฟอร์มไหนมากที่สุด หรือถามตัวเองก็ได้ว่าเข้าใจการใช้งานแพลตฟอร์มไหนมากกว่าก็เข้าไปขายของในนั้น หรืออยากทำยอดขายมากจะไลฟ์ขายของไปทุกช่องทางเลยก็ได้ […]

5 กระบวนการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แตกต่างอย่างมีสไตล์

การสร้างแบรนด์เป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะมี อยากจะทำและอยากจะได้ แต่ก็มีขั้นตอนที่ลึกไปกว่านั้นคือ จะทำอย่างรไให้แบรนด์มีเอกลักษณ์ โดดเด่น และแตกต่างจากคู่แข่ง สร้างตัวตนที่คนสนใจอยากมาใช้บริการ จะทำอย่างไรได้บ้างไปดูกัน! 1.หาภาพจำให้แบรนด์ แบรนด์ที่ดีมีเอกลักษณ์ คือ แบรนด์ที่คนจำได้ เห็นแล้วนึกออกว่าขายอะไร อาจทำได้ด้วยการใช้โลโก้ บบรจุภัณฑ์ สี ฟอนต์ตัวอักษร การทำคอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดียและอื่น ๆ อีกมากมายว่าแบรนด์ของเราเป็นแบบไหน ภาพลักษณ์ออกไปทางจริงจังหรือสนุกสนาน เมื่อลูกค้าได้เห็นและเห็นมากขึ้นจะเกิดการจำได้เองและความมั่นใจในการใช้บริการจะเริ่มตามมาเรื่อย ๆ 2.สร้าง Story to make Money นอกจากคุณภาพของสินค้าจะต้องดีแล้ว ลูกค้ายังตัดสินใจซื้อเพราะความรู้สึกของเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นการสร้างเรื่องราว บอกเล่าความเป็นมา มาแบรนด์มีจุดเด่นอะไร สมมติคุณเปิดร้านขายเค้ก ลองบอกเล่าเรื่องราวการทำ ที่มาที่ไปแรงบันดาลใจในการทำ คุณภาพวัตถุดิบ หาวัตถุดิบมาจากแหล่งไหน น่าเชื่อถือแค่ไหน ให้เค้ก 1 ก้อนมันเป็นมากกว่าเค้ก ให้เป็นเหมือนสมัติชิ้นน้อย ๆ ที่สรรสร้างด้วยความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยม 3.บรรจุภัณฑ์สะท้อนแบรนด์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้บริโภคก็เลือกซื้อสินค้าจากบรรจุภัณฑ์เช่นกัน ไม่ว่าจะทั้งรูปทรงหรือลวดลายบนตัวบรรจุภัณฑ์ สิ่งนี้จะทำให้แบรนด์ดูมีลูกเล่น มีความน่าสนใจ ลูกค้าอยากลองใช้งานหรือนำไปเก็บสะสมก็ได้ เช่น แบรนด์น้ำเปล่ายี่ห้อหนึ่ง รูปทรงขวดน้ำอาจไม่ได้แปลกใหม่มาก แต่เขาชูโรงด้วยการมีรูปการ์ตูนดังอยู่บนขวด […]

5 กลยุทธ์แก้ไขความขัดแย้งในที่ทำงาน กาวใจพนักงาน ผสานร้อยราวองค์กร

ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ทุกที่ ทุกบริษัทต้องพบเจออยู่แล้ว ดั่งคำที่เคยได้ยินกันว่า “ร้อยพ่อพันแม่” ไม่มีใครเหมือนกันทั้งหมด ไม่มีใครคิดแบบเดียวกัน 100% ความไม่ลงรอยจึงเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา ในฐานะเจ้าของกิจการหรือพนักงานกันเองควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร ไปดูคำตอบกัน! 1.ไม่หนีปัญหา เมื่อมีปัญหาอย่าทำเมินเฉย ยิ่งนิ่งเฉยทุกอย่างยิ่งแย่ไปกว่าเดิม นานวันเข้าจากที่จพแก้ไขได้ มันอาจต้องแตกแยกไปเลยก็ได้ ความตึงเครียดในที่ทำงานก็เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบถึงการทำงานเป็นทีมอย่างมาก ทางที่ดีคือมีปัญหาต้องกล้าเผชิญหน้า เลือกเวลาที่เหมาะสม เจรจาหาข้อยุติให้เจอ 2.สื่อสารให้เป็น เวลามีปัญหามักมีอารมณ์ด้านลบอยู่แล้วไม่ว่าจะโกรธ ไม่พอใจหรือเศร้าก็ตาม ดังนั้นต้องมีการสื่อสารที่เหมาะสม มีวิธีพูดที่เข้ากับสถานการณ์ ไม่ใช่คำพูดรุนแรงที่ทิ่งแทงใจคนฟัง จากที่แย่อยู่แล้วจะกลายเป็นเติมเชื้อไฟให้แย่กว่าเดิมไปอีก 3.ตั้งใจฟังให้ดี ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง และเหตุผลเหล่านั้นมันไม่สอดคล้องกัน ดังนั้นควรตั้งใจฟังเหตุผลแต่ละคนเพื่อปรับความเข้าใจ เพราะบางคำพูดนั้นฝ่ายพูดไม่ได้คิดอะไร หมายความอีกแบบ แต่ผู้ฟังดันไปเข้าใจอีกแบบ การฟังอย่างตั้งใจจะทำให้พบเหตุของปัญหาว่ามาจากการรับรู้สารที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ จะได้เคลียร์ใจกันง่ายขึ้น 4.หาทางออกร่วมกัน เมื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ต่อมาก็ต้องมาหาข้อยุติหรือหาทางออกร่วมกันว่าจะเอาอย่างไรต่อ แต่โดยพื้นฐานแล้วต้องยึดเรื่องงานมาเป็นที่ตั้ง ทำอย่างไรให้มีทางออกให้งานที่ทำลุล่วงไปได้ด้วยดีร่วมกัน ยอมนิด เพิ่มหน่อยตามสมควร 5.หาคนกลางมาช่วย ถ้าคุยกันสองคนเพื่อเคลียร์ปัญหาแต่มันกลับดูแย่กว่าเดิมก็คงต้องมีผู้ไกล่เกลี่ย อาจเป็นเพื่อนสนิทหรือหัวหน้างานก็ได้ เพราะเขาคนนั้นเข้าใจทั้งสองฝ่ายดีอยู่แล้ว จะได้ช่วยวิเคราะห์หาจุดตรงกลางเพื่อให้ปัญหามันหมดไป ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ : คลิก ติดตามบทความ […]

7 วิธีสร้างนิสัยการเรียนรู้ พัฒนางานและเงินให้ดี ชีวีก็รุ่งโรจน์

“การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด” วลีนี้ไม่เกินจริงลเยแม้แต่น้อย ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ วัยกลางคน ไปจนถึงผู้สูงอายุ ก็สามารถเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา ยิ่งคนทำธุรกิจก็จำเป็นต้องเรียนรู้เทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอเพื่อให้ทันโฃก ทันความต้องการของลูกค้า ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันว่าเราจะสร้างนิสัยนี้ได้อย่างไร? 1.ตัวเองชอบอะไร? จะเรียนรู้ได้อย่างไม่น่าเบื่อก็ต้องศึกษาจากเรื่องราวที่ตนเองชอบหรือสนใจ ยิ่งชอบมากเท่าไร ยิ่งอยากรู้มากเท่านั้น บางคนชอบเรื่องรถ ก็อยากรู้ลึกไปว่ารถมีกี่ประเภท มีกี่ยี่ห้อ เครื่องยนต์อะไร ระบบการทำงานแบบไหน รถแต่ละรุ่นใส่ออฟชันอะไรมา บางรุ่นกั๊ก บางรุ่นให้มาเต็ม ทั้งหมดเหมือนตามหาแพชชันตัวเอง ชอบอะไรศึกษาอันนั้น 2.ชอบเรียนรู้จากทางไหน? ทุกวันนี้ช่องทางการเรียนรู้นั้นเยอะมาก คลิปวิดิโอ พอดแคสต์ บทความ เว็บไซต์ เพจความรู้ต่าง ๆ หรือจะฟังจากผู้มีความรู้และประสบการณ์เฉพาะด้านที่สนใจก็ได้ คุณชอบหรือถนัดฟังจากช่องทางไหน ให้เรียนรู้จากช่องทางนั้นอย่างสม่ำเสมอ 3.ต้องเรียนรู้เรื่องอะไร? การชอบเรื่องใดเรื่องหนึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะจะฝึกให้ตัวเราหมั่นหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ แต่ในการใช้ชีวิตมันก็ต้องมีสักเรื่องที่เราไม่ชอบแต่ต้องเรียนรู้ เช่น การทำธุรกิจ บางคนไม่ได้เลย ธุรกิจคืออะไร ทำอย่างไร กลัวเจ๊ง กลัวเจ็บตัว ดังนั้นหากธุรกิจเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้ทั้งที่เราไม่ถนัด คุณก็ต้องฝึกและฝืนตัวเองสักหน่อยเพื่อเรียนรู้ ถ้าคุณอยากรวยขึ้น มั่นคงขึ้น […]

5 วิธีเอาชนะสงครามราคา ยืดหยัดสู้คู่แข่ง ไม่ต้องลดต้นทุน

สงครามราคา เกิดขึ้นหลัก ๆ หลังจากวิกฤติโควิด-19 ที่คนขายของกันไม่ได้ ต่อมาพอเริ่มฟื้นตัว เศรษฐกิจก็ยังไม่ได้ดีขึ้นขนาดลืมตาอ้าปากได้อย่างเต็มที่ กลยุทธ์ที่พ่อค้าแม่ขายมักทำกันคือลดต้นทุน ลดราคาสินค้า จึงเกิดการตัดราคากันเป็นว่าเล่น วันนี้เราจะมาดูกันว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรในสงครามด้านราคาแบบนี้ 1.ต้องเป็นมากกว่าร้านทั่วไป ยุคนี้ลูกค้าต้องการมากกว่าแค่ร้านทั่วไปทีี่ซื้อมาขายไป ยิ่งมีความพิเศษมากกว่าที่อื่นก็ย่อมได้รับความนิยมมากกว่าที่อื่น ส่วนที่ต้องเพิ่มคือเรื่องการบริการ ไม่ว่าจะการบริการในร้าน การพูดคุยกับลูกค้า ยิ่งถ้ามีบริการส่งสินค้าให้ฟรีด้วยจะยิ่งดีขึ้นไปอีก และไม่ต้องกลัวเรื่องราคาเลยแม้แต่น้อย 2.สร้างความแตกต่าง ร้านที่ทำของเหมือนกันมักจะใช้วิธีลดราคาเพื่อให้สินค้าตัวเองขายได้มากขึ้น ลูกค้าเข้ามากขึ้น แม้กำไรจะน้อยลงหรือน้อยมากก็ตาม แต่ถ้าสามารถสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าได้ เช่น เปิดร้านเค้ก แต่ทำเค้กที่แปลกใหม่ รูปร่างใหม่ ดีไซน์แปลก ๆ ทำเป็นตัวการ์ตูน 3D หรือการ์ตูนดังตามกระแส ทำให้ลูกค้าสนใจมากขึ้น ทำราคาได้ด้วย ไม่ต้องลดราคาไปแข่งกับใคร 3.สร้างเรื่องราวของแบรนด์หรือสินค้า สังเกตว่าสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่น ถ้ามองดี ๆ ก็รู้สึกว่าสินค้าทั่วไป เนื้อก็ดูดีจริงแต่ก็คือเนื้อวัว แต่ที่ทำให้ราคามันแพงขึ้นมามากเพราะเขาสร้างเรื่องราวให้กับมัน เล่าที่มาที่ไปว่ามาจากไหน เลี้ยงอย่างไร ทำอะไรบ้าง ทำที่ไหน ใช้ผลิตภัณพ์อะไรดูแล ทำให้เนื้อมีคุณค่ามากขึ้น คุณสามารถนำจุดนี้มาใช้กับร้านตัวเองได้เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า 4.ศึกษาคู่แข่ง ตรวจสอบดูว่าตอนนี้คู่แข่งใช้กลยุทธ์อะไร วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งคู่แข่งแล้วนำข้อมูลนั้นมาปรับใช้กับธุรกิจตัวเอง ถ้าเขาให้ราคาที่ถูกเป็นจุดขาย เราก็ใช้คุณภาพสินค้าที่มากกว่าเขาไปสู้ […]

5 วิธีหาไอเดียธุรกิจ มือใหม่อยากมีร้านต้องไม่พลาด

ไอเดียธุรกิจเป็นสิ่งที่จำเป็นสุด ๆ สำหรับการสร้างธุรกิจ เพราะทุกวันนี้้มีธุรกิจมากมายหลายร้านค้า ขายสินค้าแบบเดียวกันก็มากโข ดังนั้นจะหาไอเดียอย่างไรเพื่อให้สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ มีอะไรบ้างไปดู! 1.หาสิ่งที่ตัวเองชอบก่อน เริ่มทำธุรกิจทั้งทีก็ต้องโฟกัสที่ความชอบของตัวเอง เพราะเมื่อเราชอบอะไรเรามักจะทำออกมาได้ดีและมีใจที่อยากจะทำสิ่งนั้น หา Passion ตัวเองให้เจอก่อนว่าอยากทำอะไร อยากทำจริง ๆ ใช่หรือไม่ แล้วค่อยไปสเต็ปต่อไป 2.เอาปัญหามาเป็นโจทย์ การทำธุรกิจเป็นเหมือนกันตอบสนองความต้องการของลูกค้า แก้ปัญหาให้ลูกค้า เป็นหนึ่งในตัวช่วยให้ลูกค้าสบายขึ้นได้ในทางใดทางหนึ่ง ถ้าคุณเจอปัญหาสักอย่างแล้วยังไม่มีใครมาแก้ปัญหานั้นให้กับคุณได้ คุณก็สามารถเอาจุดนี้มาทำธุรกิจได้ 3.ไปตามงานอีเวนต์ พวกงานอีเวนต์ขายอาหาร งานมหกรรมสินค้าต่าง ๆ มักจะมีร้านค้า หลากหลายประเภทธุรกิจ จุดนั้นทำให้เราได้เห็นภาพการทำธุรกิจที่ชัดเจนมากขึ้น รู้เลยว่าธุรกิจไหนที่ไก้รับความนิยม สินค้าไหนที่ผู้บริโภคชอบก็จำตรงนั้นมาเป็นไอเดียต่อยอดต่อไปได้ 4.เดินทางท่องเที่ยว ข้อนี้จะคล่ายกับการไปงานอีเวนต์แต่จะอยู่ในขอบเขตที่กว้างกว่า สมมุติไปเที่ยวเชียงใหม่ เห็นสินค้าหรืออาหารในเชียงใหม่ที่อร่อย ดี ได้รับความนิยมแต่ในโซนบ้านที่อยู่อาศัยตัวเองยังไม่มีเลย สามารถนำเมนูนั้นมาเปิดได้เพื่อให้คนระแวกบ้านได้สมัผัสกลิ่นอายความเป็นเชียงใหม่โดยไม่ต้องไปถึงเชียงใหม่ จุดนี้ก็ถือเป็นไอเดียที่ไม่เลวสำหรับผู้เริ่มต้น 5.สองหัวดีกว่าหัวเดียว คิดหาไอเดียคนเดียวอาจไม่ได้ผล คงต้องหาใครสักคนมาด้วย ไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อน แฟน หรือหุ้นส่วนมาช่วยหาไอเดียที่ดีว่าจะทำอะไรดี สมองที่มากขึ้น มุมมองที่แตกต่างอาจสร้างเส้นทางใหม่ในการทำธุรกิจได้ ติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่ : คลิก […]

5 วิธีสร้างคู่มือ SOP คัมภีร์กลยุทธ์ธุรกิจ รากฐานสู่ความสำเร็จ

คู่มือการทำงาน หรือ SOP เป็นคู่มือปฏิบัติการการทำร้านค้าที่อธิบายว่าต้องทำอะไรตามลำดับขั้นตอนไหนอย่างชัดเจน บอกให้รู้ว่า ใคร ต้องทำอะไร ทำที่ไหน ทำอย่างไร การทำงานก็ง่ายขึ้น คนที่ไม่รู้เรื่องทำธุรกิจก็สามารถมาลงมือทำได้อย่าง่ายมากขึ้น วิธีทำคู่มือปฏิบัติงานเป็นอย่างไรไปดูกัน! 1.วางภาพรวมของงาน ทำคู่มือเพื่อให้รู้เรื่องธุรกิจก็ควรบอกก่อนว่าธุรกิจนี้คืออะไร ทำอะไร ทำเพื่อใคร ทำอย่างไร เมื่อมีขอบเขตให้ประมาณนี้จะทำให้คู่มือดูมีหลักการและขอบเขตเนื้อหาที่ชัดเจน ครอบคลุมเนื้อหาของธุรกิจเพียงอย่างเดียว ไม่หลุดธีมเกินไป เพราะถ้าใส่ข้อมูลที่อยากใส่ไปทั้งหมด นอกจากเราจะไม่อยากทำต่อเพราะเยอะเกินแล้ว ลูกค้าหรือคนที่มาอ่านก็ไม่อยากอ่านเช่นกัน 2.คัดข้อมูลที่จำเป็น คัดเนื้อหาที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกิจโดยเฉพาะพวกความรู้ Know How และ How to ข้อมูลที่ใส่ควรมีความถูกต้องแน่นอน หากมีความผิดพลาดของข้อมูลก็ควรมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มิฉะนั้นมันอาจสร้างความผิดพลาดใหญ่หลวงได้ อีกทั้งข้อมูลที่ใช้ก็ไม่ควรมาจากอินเตอร์เน็ต แต่ควรใช้ข้อมูลที่มีความแน่นอนจากประสบการณ์ตรง และควรจดบันทึกทุกครั้งจนออกมาเป็นฉบับสมบูรณ์ 3.จัดระเบียบข้อมูล ต่อให้มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย ความน่าเชื่อถือมาเต็ม ประสบการณ์แน่น รู้แล้วมีประโยชน์แน่นอน แต่ถ้าการจัดเรียงเนื้อหาไม่ดี เรียงมั่ว เนื้อเรื่องและวิธีทำไม่ต่อเนื่องกัน ขาดช่วงก็ยากที่จะเป็นคุ่มือที่ดีได้ มันก็เหมือนนิยายหรือภาพยนต์สักเรื่องที่ต้องผ่านการคิด การเรียบเรียบมาดีแล้วเพื่อให้ผู้อ่านรู้เรื่อง เข้าใจเรื่องที่จะสื่อ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อ่าน 4.สร้างคู่มือ เมื่อผ่านการเตรียมตัวมาพอแล้ว วางโครงสร้างการเรียงเนื้อหาแล้ว ตรวจสอบแล้วว่าเนื้อหาครบถ้วน ครบทุกมุมของการทำธุรกิจ […]

5 วิธีจัดลำดับความสำคัญของงาน บริหารงานอย่างลื่นไหล เสร็จไวไม่มีสะดุด

การจัดลำดับความสำคัญของงานสามารถใช้ได้ทั่วทุกแขนงอาชีพ ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกจ้าง พนักงานบริษัท หรือสูงไปจนถึงผู้บริหารก็ตาม เพราะมันจะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น เป็นระบบและระเบียบ ซึ่งกระบวนการทำก็ไม่ยาก จะเป็นอย่างไรไปดู! 1. จดงานที่ต้องทำทั้งหมด การจัดลำดับงานที่มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องรู้ขอบเขตของสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จอย่างชัดเจน จึงควรจดงานทุกชิ้นลงไป แม้แต่งานที่ปกติธรรมดาที่สุด และเพื่อให้เห็นภาพรวมที่แท้จริง คุณควรจดทุกอย่างตั้งแต่เลือกที่เล็กมากอย่างการซื้อของไปจนถึงการจัดเวลาประชุมตัวและการทำงานอื่น ๆ ในที่ทำงานไว้ในที่เดียวกัน เมื่อจดครบทั้งหมดแล้ว ต่อไปคุณก็จะจัดลำดับความสำคัญโดยพิจารณาจากความสำคัญของาน ความเร่งด่วน ระยะเวลาที่ใช้ และผลตอบแทนของแต่ละงาน 2.งานด่วนมาก่อน แน่นอนว่างานที่สำคัญ งานที่ต้องเอาเดี๋ยวนั้นและมีผลต่อชีวิตประจำวันหรือการทำงานมากที่สุดต้องจัดมาไว้อันดับแรก ๆ ถึงแม้ว่างานนั้นไม่ได้มีกำหนดการส่งชัดเจน เช่น หัวหน้าบอกว่า “ของานเย็นนี้” แต่เย็นนี้ไม่รู้ว่ากี่โมง คุณก็ควรตั้งกำหนดด้วยตัวเองแม้ว่าจะไม่ได้มีการระบุอย่างเป็นทางการก็สำคัญเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคุณอาจปล่อยเวลาล่วงไปเรื่อย ๆ โดยไม่ทำงานที่สำคัญเสียที เพียงเพราะว่าไม่มีเวลามาเป็นตัวบีบรัด 3.บริหารไม่ให้งานทับซ้อนกัน การทำงานได้เยอะเป็นเรื่องที่ดี เจ้านายชอบ แต่การที่งานมันทับซ้อนเวลากันเกินไปนั้นไม่ควรเกิดขึ้นสักเท่าไร เพราะคุณอาจแบ่งเวลาไม่ถูก กำหนดเวลาชัดเจนก็ไม่ได้ เช่น คุณมี 2 งานที่อยากทำ และต้องเสร็จใน 1 ชั่วโมง ตามปกติก็ตกงานละ 30 นาที แต่ไม่ใช่ทุกครั้งจะจบงานได้ในเวลาเท่านี้ ถ้างานแรกเกินเวลา งานสองก็ช้า […]

5 เทคนิคเลือก Influencer มาโปรโมตธุรกิจ เลือกให้ถูกเพื่อธุรกิจของคุณ

influencer เป็นสิ่งที่หลายธุรกิจหันมาให้ความสนใจมากขึ้น ยิ่งเป็นคนดังที่ภาพลักษณ์ดี มีความน่าเชื่อถือมากเท่าไรก็ยิ่งส่งผลต่อธุรกิจในทางบวกมากเท่านั้น ดังนั้นเป็สิ่งสำคัญมากที่จะต้องเลือกคนที่ใช่ คนที่เหมาะสมให้มาโปรโมตธุรกิจของเรา จะมีอะไรบ้างไปดูกัน! 1.ผู้ติดตามตรงกลุ่มเป้าหมาย การโปรโมตถือเป็นขั้นตอนสำคัญต่อธุรกิจอย่างมาก ถ้าคุณอยากเพิ่มยอดขาย เพิ่มการรับรู้ ก็ต้องใช้การโปรโมตนี่แหละเพื่อการเติบโตที่มากขึ้น ดังนั้นก็ต้องเลือกคนโปรโมตในโซเชียลมีเดียที่มียอดผู้ติดตามสูงระดับหนึ่ง และผู้ติดตามของเขาก็ควรจะตรงกับกลุ่มเป้าหมายของบริษัทเรา เพื่อความสอดคล้องที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น 2.ใช้โซเชียลมีเดียได้ดี ณ วันนี้มีช่องทางโซเชียลมีเดียมากมายเต็มไปหมด แต่ธุรกิจของคุณอาจไม่ได้เหมาะสมกับทุกแพลตฟอร์ม เช่น คุณขายอุปกรณ์ตกปลา คอนเทนต์หรือการโปรโมทควรมีภาพ มีข้อความ คลิปการใช้เล็กน้อย อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายอาจเป็นคนที่เริ่มมีอายุขึ้นบ้างแล้ว วัยผู้ใหญ่ และวัยนี้จะถนัดการใช้งาน Facebook หรือ YouTube มากกว่าการใช้งาน Instagram และ X ดังนั้นควรหาคนที่ใช้โซเชียลมีเดียที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเราได้ดี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามความต้องการมากขึ้น 3.ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนจ้าง ทุกครั้งก่อนที่จะจ้างใครมารีวิวหรือโปรโมตสินค้าให้ ต้องดูก่อนว่าเป็นใคร มีผู้ติดตามเท่าไร อัตราการมีส่วนร่วมของผู้ติดตามสูงหรือไม่ รวมไปถึงดู ROI ด้วย การมีผู้ติดตามเยอะนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ผู้ติดตามต้องตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าเราด้วย มิฉะนั้นจ้างไปก็ไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมอะไรได้เลย 4.ทำงานร่วมกันอย่างมิตร อินฟลูเอนเซอร์ก็เป็นคนเหมือนกันไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือทางการตลาดที่จ้างเสร็จแล้วก็จบกัน คุณต้องมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้สินค้าในกับเขาด้วย เพื่อให้การรีวิวนั้นดูเป็นธรรมชาติ ไม่เฟค อีกทั้งจะดีมากถ้าให้ทางอินฟลูฯ มีส่วนช่วยในการกำหนดเนื้อหาการโปรโมต […]

6 ตัวชี้วัดความสำเร็จของแบรนด์ หมุดหมายที่ต้องรู้ว่าแบรนด์โตแค่ไหน

ความสำเร็จของแบรนด์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้ไว้ให้ดี นอกจากจะเป็นความภาคภูมิใจเพราะเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญแล้ว มันยังสะท้อนให้เห็นอีกว่าแบรนด์มีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน ถูกใจกลุ่มผู้บริโภคมากเท่าไร การเข้าใจในเรื่องของความสำเร็จของแบรนด์จะช่วยให้คุณสามารถประเมินศักยภาพของตัวคุณเอง ว่าสิ่งที่คุณเป็นสิ่งที่คุณทำและสิ่งที่คุณสื่อสารนั้นมันประสบผลสำเร็จมากน้อยแค่ไหน 1.วัดที่ Brand Awareness หากอยากรู้ว่าแบรนด์เราดังแค่ไหน ก็ต้องรู้ว่าสินค้าหรือบริการของเราอยู่ในสายตาและการรับรู้ของผู้บริโภค โดยสามารถจำแนกได้ 2 แบบคือ -การวัดเชิงปริมาณ : วัดจำนวนคนที่รับรู้การมีอยู่ของแบรนด์เราอาจมาจากทั้งการทำคอนเทนต์รูปภาพ-วิดิโอลงแฟนเพจ รวมไปถึงการเข้าคลิกดูเว็บไซต์แล้วมาดูที่ยอดผู้ติดตาม ยอดกดไลก์ กดแชร์ จำนวนคนคอมเมนต์ตามโพสต์ต่าง ๆ ยิ่งมากเท่าไร แสดงว่าแบรนด์เราติดตลาดและสำเร็จไปมากระดับนึงแล้ว -การวัดเชิงคุณภาพ : การสอบถามจากลูกค้าโดยตรงว่ารู้สึกอย่างไรกับแบรนด์ ชอบและไม่ชอบตรงไหนในตัวของสินค้าและแบรนด์ทั้งหมด ยิ่งผลออกไปทางบวกก็ยิ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจมากขึ้นไปอีก 2. การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ต้องมาดูว่าผู้ใช้งานสินค้าและบริการของเรา มีกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งใจไว้อยู่เท่าไร สามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายเพิ่มได้มากน้อยแค่ไหน ผลลัพธ์นี้จะออกมาในรูปแบบของเปอร์เซ็นยอดขายและส่วนแบ่งทางการตลาดเมื่อนำไปเทียบกับคู่แข่งที่ขายของประเภทเดียวกัน ยิ่งมีทิศทางบวกที่มากจะทำให้แบรนด์อยู่ในสายตาผู้บริโภคมากขึ้น ความนิยมก็มากขึ้นตามไปด้วย 3.ความชื่นชอบในแบรนด์ ตัวชี้วัดนี้จะโฟกัสไปที่ความรู้สึกของผู้บริโภคโดยตรง สิ่งที่เกิดจากประสบการณ์ทั้งการซื้อสินค้าไปใช้งานว่าตอบโจทย์ผู้บริโภคมากหรือน้อยเพียงใด คุณภาพเป็นที่น่าพึงพอใจหรือไม่ ทั้งยังรวมไปถึงการบริการทั้งขณะซื้อและหลังการขายด้วย ลูกค้ามักต้องการการบริการที่ดี ใส่ใจดูแลอย่างเต็มที่ ยิ่งตอบสนองจุดนี้ได้ดีก็เพิ่มความนิยมไปอีกขั้น เมื่อทิศทางลมเป็นเชิงบวก นั่นคือแบรนด์คุณดังอย่างไม่ต้องสงสัย 4.หนึ่งในใจผู้บริโภคไทย วิธีที่วัดง่ายที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุด บ้าน ๆ […]

5 ขั้นตอนการพัฒนาสินค้าใหม่ เพิ่มตัวช่วยให้ลูกค้าเลือกใช้

การพัฒนาสินค้า นอกจากจะเป็นการสร้างช่องทางของการหารายได้แบบใหม่แล้ว ยังส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างมาก เพราะเป็นการสร้างตัวเลือกหรือทางเลือกใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการขยายตลาดและฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นอีกด้วย แล้วควรจะเริ่มอย่างไรดี? 1.หาไอเดียที่ใช่และเลือกนำมาใช้ จะพัฒนาคุณภาพสินค้าตัวใหม่ทั้งทีก็ต้องคิดให้ดีเช่นกัน ลองมองดูว่าบริษัทยังขาดอะไร ระดมสมองกับทีม สังเคราะห์ความคิดใหม่ วิเคราะห์ปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าที่เรายังตอบสนองไม่ได้ การเขียนรายการปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้มากที่สุดแล้วเลือกความคิดที่ใช่ที่สุดมาทำเป็นสินค้าตัวใหม่ 2.วางแผนกลยุทธ์การตลาด เมื่อได้ไอเดียที่คิดว่าโดนใจลูกค้าแล้ว ก็ลองมาวางแผนการตลาดว่าต้องทำอย่างไรในการขายสินค้าตัวใหม่ให้ยอดออกมาดี กระแสดี ตอบโจทย์ลูกค้า เริ่มตั้งแต่ -วางขนาด โครงสร้าง และพฤติกรรมของตลาดเป้าหมาย การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ ยอดขาย ส่วนแบ่งตลาด เป้าหมายการทำกำไรที่ต้องการ -วางแผนเรื่องของราคา กลยุทธ์การจัดจำหน่าย งบประมาณด้านการตลาด -สุดท้ายมาดูยอดขายในระยะยาว กำไร และกลยุทธ์ทางการตลาดในระยะยาว 3.วิเคราะห์ธุรกิจ การทำสินค้าใหม่ ๆ ไม่ใช่ว่านึกปุ๊บจะทำได้เลยปั๊บ ต้องนำมาคิดประเมินและคาดการณ์ยอดขาย ต้นทุนและกำไรที่จะเกิดขึ้น และดูว่าสมควรที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไปหรือไม่ บริษัทต้องขายสินค้ากี่หน่วยจึงจะคุ้มกับต้นทุนที่ลงทุนไป หรืออาจใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยงในการประเมินก็ได้ โดยดูว่ากำไรจะเป็นอย่างไร ในกรณีที่แย่ที่สุด ปานกลาง หรือดีที่สุด 4.พัฒนาและทดสอบสินค้าตัวใหม่ คิดมาแล้วก็ได้เวลาลงมือทำ เข้าสู่กระบวนการผลิตสินค้า ปรับปรุง แก้ไข ให้ออกมาตรงตามสเปคที่ต้องการ แต่เท่านั้นไม่พอ […]

4วิธีลดอีโก้ ฉบับเริ่มต้น!

4วิธีลดอีโก้ ฉบับเริ่มต้นทำได้ไม่ยากแค่ลองปรับดู!1.ฝึกสมาธิการฝึกสมาธิ จะช่วยให้มีสติ รู้เท่าทันความคิดของตนเอง หากรู้ว่าความคิดที่เกิดขึ้นมาจากอีโก้ ก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ ควบคุมคำพูดที่อยู่ภายใต้อีโก้ได้2.รับฟังและเคารพคิดเห็นของผู้อื่นนอกจากจะเป็นผู้ฟังที่ดีแล้ว ควรที่จะเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย ไม่ตัดสิน หรือแย้งในทันที เพราะการรับฟังเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้อีโก้ลดลงได้ แต่ต้องเคารพและเปิดใจรับฟัง ให้ความสำคัญ เพื่อที่จะทำให้สามารถเรียนรู้จากมุมมองที่ต่างออกไปได้3.ปรับความคิดให้คิดว่ายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก และไม่จำเป็นต้องแสดงความเหนือกว่าใคร ฝึกการเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ และไม่คาดหวังการยอมรับหรือการชื่นชม4.ให้อภัยการให้อภัยไม่เพียงแต่ผู้อื่น แต่ยังรวมถึงตนเองด้วย ปล่อยวางความยึดติดในความโกรธ ความอิจฉา ความรู้สึกผิด ความรู้สึกด้านลบทั้งหมด จะช่วยให้เข้าใจในความผิดพลาดของทุกคน รวมถึงตนเองอีกด้วย ดูน้อยลง

5 สิ่งที่ต้องคำนึงในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ผู้บริโภค

การออกแบบบรรจุภัณฑ์ไม่ใช่เพียงแค่หาวัสดุอะไรก็ได้มาทำให้เป็นรูปร่างที่สามารถบรรจุสินค้าได้ แต่ต้องมองให้ลุกถึงคุณภาพวัสดุ รูปทรงของผลิตภัณฑ์ การใช้งานที่ง่ายต่อผู้บริโภคอีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย 1.ออกบรรจุภัณฑ์ที่ต้องปกป้องสินค้าภายในได้ บรรจุภัณฑ์ที่ดีนั้นก็จะต้องปกป้องสินค้าที่อยู่ในกล่องบรรจุภัณฑ์ให้ได้ด้วย ต้องมีการเลือกใช้วัสดุที่ดีและมีความเหมาะสมให้มากที่สุดประกอบกับการดีไซน์ที่สวยงามที่จะทำให้สินค้าของเรามีความโดดเด่นและมีความต้องการ ต้องเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถป้องกันรอยรั่วซึมต่าง ๆ ได้ เพื่อป้องกันสินค้าของเราที่อยู่ข้างในกล่องนั้นเกิดการชำรุดเสียหาย 2.คงคุณภาพและยืดอายุของสินค้าเราได้ บรรจุภัณฑ์ที่ดีจะต้องคำนึงถึงเรื่องคุณภาพสินค้า ความสดใหม่ของตัวสินค้าอยู่เสมอ หากสินค้าเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับอาหารก็ต้องคำนึงถึงรสชาติ สีสันของสินค้าก็จะต้องคงเดิมไม่เปลี่ยน มีสภาพสมบูรณ์ไม่แตกหัก เสียหาย ควรมีการนำเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะทำให้บรรจุภัณฑ์ของเรามีอายุการใช้งานที่ยืดออกไปได้มาใช้งาน เพื่อคุณภาพที่ดียิ่งขึ้นไปอีก 3.รายละเอียดสินค้าชัดเจน รายละเอียดสินค้าเป็นสิ่งทีสุดแสนจะจำเป็นมาก ยิ่งยุคนี้ที่คนจริงจังเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือมากขึ้น ยิ่งควรมีรายละเอียดสินค้าติดบอกไว้อย่างชัดเจน วัตถุดิบมีอะไรบ้าง ใส่ส่วนผสมแต่ละอย่างเท่าไร วันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุ ผลิตที่ไหนอย่างไร ควรจะมีครบจบ ต่อให้สินค้าเรามีคุณภาพจริง แต่ทำออกมาในบรรจุภัณฑ์ที่ไม่บอกรายละเอียดอะไรเลย ก็อยากที่จะสร้างความน่าเชื่อถือได้ 4.ง่ายต่อการขนส่ง การทำบรรจุภัณฑ์ไม่ใช่ว่าอยากทำรูปทรงไหน รูปแบบใดก็ได้ มันอาจสร้างการดึงดูดกับลูกค้าได้ก็จริง แต่ถ้าหากมันยากต่อการขนส่ง ขนส่งลำบาก ไม่สามารถจัดระเบรยบสินค้าให้สามารถขนส่งได้ ผลเสียก็กระทบกันหมด ทางขนส่งก็เสียเวลา เสียรายได้ที่ไม่สามารถขนส่งได้ ทางเราก็เสียโอกาสกระจายสินค้าออกไปได้มากขึ้น ดังนั้นการขนส่งที่ง่ายก็ช่วยทำให้ทุกฝ่ายทำงานง่ายขึ้น 5.ต้องแสดงถึงความเป็นแบรนด์ การออกแบบที่ดีต้องคงเอกลักษณ์ของทางแบรนด์และความเป็นตัวเราเองเอาไว้ หากเรามีจุดมุ่งมั่นที่อยากทำสินค้าทีดีและไม่ทำลายโลก นอกจากออกแบบให้ขนส่งง่ายแล้ว ควรจะใช้วัสดุที่ง่ายต่อการนำไปรีไซเคิล ใช้บรรจุภัณฑ์แบบกระดาษที่แข็งแรง ไม่พังง่าย แต่ก็ง่ายก็ต่อนำไปใช้ต่อหรือแปรรูปอย่างอื่นได้ ติดตามบทความอื่น […]

ปรับเพื่ออยู่ต่อ 5 วิธีวางแผนธุรกิจที่ชัดเจนเพื่ออยู่รอดในตลาดได้ยาว ๆ

แผนธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็นเสมอในการทำธุรกิจ ไม่มีแผนก็เหมืออนเดินทางแบบไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง แต่ต่อให้มีแผนแต่ถ้าแผนยังดีไม่พอ ก็ยากที่จะอยู่รอดได้ในยุคที่มีการแข่งขัยสูงและทุกคนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ 1.ทันเทรนด์ยุคปัจจุบัน เทรนด์นั้นจะแสดงให้เห็นว่าตอนนี้สังคม ผู้คนกำลังสนใจอะไร ฮิตอะไรกันอยู่ ความสดใหม่ของกระแสเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการทำสินค้าหรือบริการที่สอดคล้องกับกระแสที่เกิดขึ้น เช่น ณ เวลานี้ “หมูเด้ง” กำลังมาแรงมาก ก็เริ่มมีสินค้าต่าง ๆ เกี่ยวกับหมูเด้งออกมาขายอย่างมากมาย และสินค้านั้นก็ขายดีด้วย แสดงให้เห็นว่าการทำสินค้าตามกระแสก็เป็นวิธีที่ดีไม่น้อยที่ทำให้ธุรกิจไปต่อได้ 2.บริการด้วยใจ สินค้าดดีแต่บริการห่วยก็มีแต่เสียกับเสีย การบริการลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญมาก การที่ลูกค้ารักในแบรนด์ จงรักภักดีต่แบรนด์จะเป็นสิ่งยืนยันได้ระดับหนึ่งเลยว่าธุรกิจของเรามีโอกาสไปต่อได้ในระยะยาว 3.โดดเด่นชนะคู่แข่ง ความแปลกที่แตกต่างในทางที่ดีและสร้างสรรค์จะช่วยให้แบรนด์เรามีความโดดเด่นที่โดดออกมาจากกลุ่มคู่แข่งทั้งหมด ถ้าอยากทำธุรกิจต่อไปยาว ๆ ก็ควรหาจุดขายหรือสร้างจุดเด่นให้กับแบรนด์ต่อไป 4.ทำระบบดึงลูกค้า ระบบดึงลูกค้าเอาแบบที่ทำง่ายและใช้กันทั่วไป คือ ระบบสะสมแต้ม ระบบนี้ช่วยสร้าง Brand Royalty ได้มากพอสมควร มีของรางวัลให้ลูกค้า ซื้อครบ 10 ครั้งแถมฟรีหรือมีส่วนลดก็ว่าไป อยู่ที่ว่าอยากจะเสนออะำรให้ลูกค้า 5.คนเก่าต้องอยู่ คนใหม่ต้องเพิ่ม ในระยะยาวเราจำเป็นต้องรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ให้ได้อย่างเหนียวแน่น ถ้าไม่มีกลุ่มนี้ธุรกิจก็ไปต่อลำบาก แต่ไม่ใช่มีกลุ่มลูกค้าเก่าแล้วจะหยุด จำเป็นต้องหากลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ด้วย เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างไกลมากขึ้น นอกจากธุรกิจจะอยู่ได้นานแล้วยังเติบโตได้ต่อเนื่องอีกด้วย ติดตามบทความอื่น ๆ […]

5 เทคนิคทำระบบสะสมแต้มมัดใจลูกค้า กระตุ้นการซื้อ-ขาย ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

การทำธุรกิจที่ได้รับความนิยมมากและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าอยู่เสมอ เพราะนี่คือสิทธิพิเศษที่มอบให้ลูกค้าเมื่อซื้อสินค้าครบตามจำนวนที่กำหนด ก็จะได้รับสินค้าแถมฟรี หรือรางวัลอื่น ๆ ตามแต่กำหนด ชี้ช่องรวยจึงอยากเสนอ 5 เทคนิคมัดใจลูกค้า กระตุ้นการซื้อ-ขาย ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย มือใหม่มีร้านต้องไม่พลาด 1.เลือกรูปแบบของระบบสะสมแต้ม หลายคนคงเคยเห็นและใช้ทั้งแบบกระดาษและรูปแบบออนไลน์ไม่ว่าจะผ่านทาง Line หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ที่อยากทำระบบนี้ก็ต้องตัดสินใจก่อนว่าจะทำในรูปแบบของกระดาษทรงนามบัตรหรือทำเป็นแบบออนไลน์ดี 2.เลือกรางวัล ของรางวัลเป็นส่วนสำคัญในการใช้งานระบบยิ่งเป็นลูกค้าประจำจะยิ่งชอบระบบนี้มากเพราะรู้ว่าเขาได้ประโยชน์แน่นอน โดยของรางวัลที่เลือกควรตรงกับข้อเสนอของแบรนด์และเป็นสิ่งที่ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการ เช่น สินค้าและผลิตภัณฑ์ฟรีจากในร้านเอง ที่มักจะเห็นกันบ่อยคือเครื่องดื่ม ซื้อ 10 แก้ว ฟรี 1 แก้ว เป็นต้น 3.ออกแบบบัตรสะสมแต้ม เมื่อรู้แล้วว่าจะทำบัตรสะสมแต้มไม่ว่าจะในรูปแบบของกระดาษหรือแบบอนนไลน์ก็ตาม ก็ควรจะมีการออกแบบรูปร่างที่สวยงาม ตัวอักษรชัดเจน ดีไซน์น่ารัก สวยงาม น่าดึงดูด ถ้าเป็นแบบออนไลน์ก็ดีไซน์ให้ภาพชัดเจน มีตัวเลือกหรืออักษรที่คมชัด ถ้าเป็นแบบกระดาษก็ทำออกมาให้ดูน่าสะสมจะช่วยให้ลูกค้ารักษาบัตรได้ดีขึ้น 4.เริ่มผลิต หลังจากผ่านขั้นตอนการตัดสินใจเริ่มทำและออกแบบจบแล้ว ก็มาสู่การทำให้มันเป็นจริง แบบออนไลน์ก็ต้องหาวิธีหรือจ้างผู้เชี่ยวชาญให้มาสร้างระบบบันทึกข้อมูลให้เพื่อความเป็นระบบระเบียบในการเก็บข้อมูล หากทำเป็นแบบกระดาษก็หาร้านที่รับปริ้นนามบัตรต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้จริง 5.ประชาสัมพันธ์ไปถึงลูกค้า แคมเปญนี้จะใช้ไม่ได้ผลถ้าไม่มีใครรู้จัก ดังนั้นต้องมีการประชาสมพันธ์ออกไปยังลูกค้า อาจโพสต์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของร้าน หรือเมื่อลูกค้ามาอุดหนุนอาจสอบถามว่า ไมีบัตรสะสมแต้มหรือยังคะ/ครับ” อธิบายผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้ […]

5 หลักการใช้ภาพสินค้าให้เรียกคนซื้อ เห็นแล้วชอบ มอบเงินให้เลย

ภาพสินค้า เป็นตัวสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าสูงมากโดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ เพราะลูกค้ายังไม่เจอสินค้าของจริง ยังไม่รู้ว่ามีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร วัสดุโอเคหรือไม่ คุณภาพตรงตามต้องการรึเปล่า ชี้ช่องรวยเสนอ 5 หลักการใช้ภาพสินค้าให้เรียกคนซื้อ เห็นแล้วชอบ มอบเงินให้เลย ใครทำธุรกิจลองเอาไปปรับใช้ 1.ภาพขณะใช้งานสินค้า เป็นภาพที่แสดงกริยาท่าทางการใช้ของสิ่งนั้น เช่น เสื้อผ้า อาจใช้ภาพกำลังใส่เสื้อผ้า ภาพชูเสื้อที่แสดงให้เห็นถึงเนื้อผ้าที่ชัดเจน ดารสัมผัสเสื้อผ้าที่สื่อได้ถึงความนิ่มหรือลื่นของเนื้อผ้า ช่วยให้ลูกค้าจิยตนาการได้ว่าความรู้สึกที่ได้ลองสวมใส่นั้นเป็นอย่างไร 2.ภาพแสดงผลลัพธ์การใช้ หากเป็นสินค้าประเภทเครื่องสำอางค์ อาจทำเป็นภาพ Before vs After เพื่อให้เกิดลุคที่เปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนระหว่างก่อนแต่งและหลังแต่งหน้าแล้วจะเป็นอย่างไร ให้โทนสีประมาณไหน เหมาะกับผิวแบบไหน 3.ภาพที่กระตุ้นความอยากซื้อ ถ่ายภาพที่กระตุ้นความอยากซื้อโดยอาจเน้นไปที่สีของตัวผลิตภัณฑ์ ถ่ายคู่กับฉากหลังที่มีคู่สีตัดกันอย่างลงตัว พร้อมกับเน้นให้ภาพนั้นดูมีสีที่สดมากขึ้นจะยิ่งช่วยขับเน้นความสวยงามของผลิตภัณฑ์และเป็นการสร้างความอยากได้ให้กับลูกค้ามากขึ้นอีกด้วย 4.ภาพที่มีคนเป็นส่วนประกอบ มีแต่ภาพสินค้าอย่างเดียวก็อาจจะดูยังไม่น่าเชื่อถือพอ ลองนำคนจริง ๆ มาอยู่ในภาพ อาจเป็นคนดัง หรือเจ้าของแบรนด์เองก็ได้ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและวางมาตรฐานของแบรนด์ตัวเองว่ามีความน่าสนใจ คุณภาพและความน่าเชื่อถือดีขนาดไหน 5.ภาพที่คำนึงถึงแพลตฟอร์ม ภาพสินค้านั้นมีหลายสัดส่วน และแต่ละแพลตฟอร์มก็ใช้สัดส่วนภาพที่ค่อนข้างต่างกัน เช่น Facebook จะใช้ภาพที่เป็นแนวตั้งที่เห็นแล้วรู้ได้เลย ช่องตารางก็เป็นภาพแนวตั้งอยู่แล้ว ต่างกับทาง Instagram ที่จะออกไปทางภาพแนวนอนมากกว่า หากใครจะใช้ภาพโปรโมตสินค้าทั้งสองช่องทางนี้ก็ต้องคำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสมด้วย ติดตามบทความอื่น […]

1 2 3 … 5